ค้นหาบล็อกนี้

วันพฤหัสบดีที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2560

พระมหาชนก (๑๕)



พระราชามหาชนกตรัสว่า   "เอาเถอะ  เราจะบอกให้  เมื่อประชาชนให้พระโอรสครองราชสมบัติแล้ว ขอให้พระนางคอยตักเตือนดูแลพระราชโอรสให้ได้ศึกษาสำเหนียกราชประเพณีของกษัตริย์  และวิธีการปกครองราษฏรให้อยู่เย็นเป็นสุข  คอยตักเตือนห้ามปรามพระโอรสให้งดเว้นในทางทุจริตทางกาย วาจา  ใจ  ให้ตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรมเถิด"

เมื่อทั้งสองพระองค์ตรัสโต้ตอบกันอยู่ก็ถึงเวลาพลบ  พระนางสีวลีจึงไปตั้งค่ายประทับอยู  ณ  ที่แห่งหนึ่ง  พระราชามหาชนกประทับที่ร่มไม้แห่งหนึ่ง  ประทับอยู่นตลอดคืน

รุ่งเช้า  พระราชามหาชนกเสด็จดำเนินไปตามหนทาง  พระนางสีวลีพร้อมด้วยอำมาตย์ราชบริพารก็เสด็จตามไปภายหลัง  กษัตริย์ทั้งสองเสด็จไปถึงถูนนคร  พอดีได้เวลาภิขาจาร

ขณะนั้น  มีชายผู้หนึ่งซื้อก้อนเนื้อชิ้นใหญ่มาจากโรงฆ่าสัตว์  แล้วเอาไม้เสียบย่างให้สุก  วางบนพื้นกระดานเพื่อจะให้เย็น  ขณะที่ชายผู้นั้นเผลอ  สุนัขตัวหนึ่งก็มาคาบเอาก้อนเนื้อนั้นไป  ชายเจ้าของเนื้อไล่สุนัข  เมื่อเห็นไม่ทันก็กลับ  ฝ่ายสุนัขวิ่งมาพอดีพบพระราชามหาชนกกับพระนางสีวลีข้างหน้า  จึงตกใจทิ้งก้อนเนื้อหนีไป  พระราชามหาชนกทอดพระเนตรเห็นก้อนเนื้อที่สุนัขทิ้งไว้  ทรงดำริว่า   "ก้อนเนื้อชิ้นนี้สุนัขนำมาทิ้งไว้  ทั้งไม่มีเจ้าของติดตามมา  เราจักพิจารณาก้อนเนื้อชิ้นนี้นำไปเป็นอาหาร"   เมื่อดำริดังนั้นแล้วจึงเสด็จไปหยิบเอาก้อนเนื้อนั้นมาปัดฝุ่นใส่ลงในบาตร  แล้วประทับนั่งเสวยก้อนเนื้อนั้นตามแบบของสมณะ

พระนางสีวลีทอดพระเนตรเห็นพระราชสามีเสวยก้อนเนื้อที่สุนัขมาทิ้งไว้นั้น  จึงทรงดำริว่า   "ถ้าพระสวามีของเรายังคงปรารถนาจะครองราชสมบัติอยู่  คงจะไม่เสวยก้อนเนื้อเช่นนี้  ซึ่งแสนที่จะสกปรกและน่าเกลียด  ทั้งเป็นเดนสุนัข  แต่พระองค์กลับเสวยได้  น่าที่พระองค์จะไม่ทรงคิดกลับไปครองราชสมบัติและเป็นพระราชสามีของเราเป็นแน่แล้ว"   เมื่อดำริดังนั้นจึงกราบทูลว่า   "โอ  พระทูลกระหม่อม  ช่างเสวยเนื้อที่สกปรกอย่างนั้นได้"

พระราชาตรัสว่า   "พระเทวีเอ๋ย  ไม่รู้จักบิณฑบาตพิเศษเพราะความโง่เขลาของเธอ"   แล้วพระองค์ก็เสวยก้อนเนื้อ  ปรากฏมีรสโอชา  เมื่อเสวยเสร็จก็เสด็จดำเนินต่อไป   พระนางสีวลีพร้อมด้วยข้าราชบริพารก็เสด็จตามไปด้วย  เมื่อเสด็จถึงประตููถูนนคร  ทอดพระเนตรเห็นเด็กหญิงคนหนึ่ง  เอากระด้งน้อย ๆ  ฝัดทรายเล่นอยู่  กำไลที่สวมอยู่ที่ข้อมือข้างหนึ่งมีเสียงดัง  ส่วนที่สวมอยู่อีกข้างหนึ่งไม่มีเสียงดัง  พระราชามหาชนกทรงทราบเหตุที่เป็นดังนั้น  จึงทรงดำริว่า   "เราจะเข้าไปถามเด็กหญิงเพื่อให้เธอตอบเรื่องกำไลมือข้างหนึ่งมีเสียง  อีกข้างหนึ่งไม่มีเสียง  อาจเกิดประโยชน์ในทางคติธรรมแก่พระนางสีวลีและผู้ติดตามบ้าง"   เมื่อทรงดำริดังนี้  จึงเสด็จเข้าไปตรัสถามเด็กหญิงนั้นว่า   "นี่แน่ะหนู  เราอยากจะถามว่า  เพราะเหตุใดกำไลมือของหนูข้างหนึ่งจึงมีเสียงดัง  อีกข้างหนึ่งไม่มีเสียงเดัง"

เด็กหญิงนั้นทูลว่า   "ข้าแต่ท่านนักบวช  กำไลมือที่ท่านได้ยินเสียงนั้นเพราะมันกระทบกัน  คือ  มี  ๒ อัน  ส่วนอีกข้างหนึ่งไม่มีเสียงนั้น  เพราะมีอันเดียว  ก็เหมือนคนนั้นแหละเจ้าค่ะ  ถ้าอยู่กันตั้งแต่ ๒  คนขึ้นไป  ก็ต้องมีการกระทบกระทั่งกัน  ถ้าอยู่คนเดียวก็สงบ  เพราะไม่รู้ว่าจะไปกระทบกับใคร  เป็นดังนี้แหละเจ้าค่ะ"

พระมหาชนกได้สดับธรรรมของเด็กหญิงนั้น  เพื่อจะให้เกิดคติแก่พระนางสีวลี  จึงตรัสว่า   "ดูก่อนพระนาง  เธอได้ยินถ้อยคำที่เด็กนั้นกล่าวหรือไม่  เด็กหญิงเป็นเพียงสาวชาวบ้านธรรมดา  ยังพูดให้เราได้ความคิด  คล้ายกับเธอจะติเตียนเราที่เห็นเราเป็นนักบวช  แต่ก็มีผู้คนมากมายติดตามเรามา  ซึ่งผิดวิสัยของนักบวชที่ดี  ตามธรรมดาจะต้องอยู่ผู้เดียวอย่างสงบ  แค่นี่กลับมีเธอเป็นต้น ติดตามมา  ซึ่งไม่น่าดูเสียเลย  ต่อไปนี้เธออย่าเรียกเราว่าเป็นพระสวามีและเราก็จะไม่ถือว่่าเธอเป็นมเหสีอีกต่อไป"


...........................................


จาก....หนังสือทศชาติชาดก  (พระเจ้าสิบชาติ)
โดย....แปลก  สนธิรักษ์













วันอาทิตย์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2560

พระมหาชนก (๑๔)


พระนางสีวลีอักครมเหสี  เมื่อเห็นพระราชสามีไม่เสด็จกลับแน่  พระนางจึงคิดอุบายได้อย่างหนึ่ง  ตรัสเรียกเสนาคุตมาเฝ้า  แล้วตรัสว่า   "เสนาคุต  ท่านจงรีบไป  เอาไฟเผาเรือนเก่า ๆ  ศาลาเก่า ๆ  ขนหญ้า  ใบไม้  กิ่งไม้แห้งมาสุมให้ลุกโพลง  ให้มีควันโขมงขึ้น  รีบไปเร็ว"

เสนาคุตรับพระเสาวนีย์แล้วก็รีบไปทำตามรับสัง  พระนางสีวลีเมื่อเห็นแสงไฟลุกโพลงข้างหน้า จึงเข้าไปหมอบที่พระบาทพระสวามีแล้วกราบทูลว่า   "ข้าแต่พระทูลกระหม่อมแก้ว  เกิดไฟไหม้ขึ้นข้างหน้าโน้นแล้ว  พระคลังมหาสมบัติถูกไฟเผาจนหมดสิ้นแล้ว  ขอเชิญเสด็จกลับไปดับไฟเถิดเพคะ"

พระราชามหาชนกตรัสว่า   "ดูก่อนเทวี  เราหมดกังวลแล้ว  เราเป็นผู้ไม่มีสมบัติที่จะทำให้เกิดกังวลมาก่อนแล้ว  พระคลังมหาสมบัติถูกเพลิงเผา  แต่ยังมีสมบัติอันแท้จริงของเราอย่างหนึ่ง  มิได้ถูกเพลิงผลาญไปด้วย"   (อันนี้ท่านคงหมายถึงบรรพชาสมบัติ)   ตรัสแล้วก็ทรงดำเนินต่อไป  บรรดาพระสนมนารีทั้ง  ๗๐๐  นางกับมหาชนอีกมากมายก็ตามเสด็จไปด้วย

พระนางสีวลีทรงคิดอุบายได้อีกอย่างหนึ่ง  ตรัสเรียกราชบุรุษมารับสั่งว่า   "พวกท่านจงไปทำเหมือนกะว่า  มีโจรปล้นชาวบ้าน  ปล้นเมือง  ส่งเสียงให้อีกทึกสนั่นหวั่นไหว"

ราชบุรุษรับพระเสาวนีย์แล้ว  ก็พากันไปทำตามรับสั่ง

พระนางสีวลีถวายบังคมกราบทูลว่า   "ข้าแต่พระทูลกระหม่อมแก้ว  พวกโจรปล้นบ้านเมืองแล้ว  ขอเชิญกลับไปปราบเถิดเพคะ"

พระราชามหาชนกทรงดำริว่า   "ตั้งแต่เราครองราชย์มา  ไม่เคยมีโจรปล้นบ้านเมืองเลย  น่าะเป็นอุบายของพระนางสีวลีเป็นแน่แล้ว"  ตรัสว่า

"ดูก่อนพระเทวี  เราหมดกังวลแล้ว  เรามีความ
สบายจริง ๆ  โจรปล้น  แต่เอาอะไรไปไม่ได้  ถึงเอาไปได้
แต่ก็เอาไปเฉพาะสมบัติภายนอก  แต่สมบัติภายในของ
เรานั้น  โจรเอาอะไรไปไม่ได้  เรามีความสุขจริง ๆ เราดื่มด่ำ
อยู่ในรสของปีติ"

ตรัสแล้วก็ทรงดำเนินเรื่อยไป  เหล่าผู้ที่ติดตามก็พากันติดตามอย่างไม่ลดละ   "ข้าแต่พระทูลกระหม่อม  มหาชนไม่เป็นอันทำมาหากิน  พากันติดตามมาหวังจะให้พระองค์เสด็จกลับ  เพื่อเป็นมิ่งขวัญของนครมิถิลา  นครมิถิลาจะว่างกษัตริย์ปกครองมิได้  หากพระองค์จะทรงงผนวชแล้ว  ขอได้ทรงโปรดอภิเษกราชโอรสให้ครองราชสมบัติก่อน  แล้วจึงผนวชเถิดเพคะ"

พระราชามหาชนกตรัสว่า   "ดูก่อนพระเทวี  เราได้สละราชสมบัติแล้ว  ขอให้ประชาชนชาวเมืองยกทีฆาวุราชกุมารขึ้นเป็นกษัตริย์ครองราชสมบัติแทนเราเถิด"

พระนางสีวลีบรมราชเทวีกราบทูลว่า   "ก็เมื่อพระทูลกระหม่อมทรงผนวชเสียก่อนฉะนี้  หม่อมฉันและประชาชนจะปฏิบัติอย่างไร"



........................................


จาก....หนังสือทศชาติชาดก  (พระเจ้าสิบชาติ)
โดย....แปลก สนธิรักษ์









วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

พระมหาชนก (๑๓)



เมื่อเวลาผ่านไปหลาย ๆ  วันเข้า  มหาชนไม่เห็นพระราชาของตนเสด็จออกตรวจราชกิจ  จึงมาประชุมกันที่หน้าพระลานหลวง  พูดกันว่า  "พระราชาของพวกเราไม่เหมือนก่อนเสียแล้ว  ไม่เห็นออกทรงตรวจตราราชการ  ไม่เห็นเสด็จทอดพระเนตรการฟ้อนรำขับร้อง  ไม่เห็นเสด็จประพาสพระราชอุทยาน  พระองค์ทรงทำเป็นเหมือนคนไข้  ประทับนิ่งเฉยอยู่ในพระมหาปราสาท"

พระราชามหาชนกทรงมั่นพระทัยแน่วในวิเวก  ทรงสละกามกิเลส  ทรงระลึกถึงแต่เหล่าพระปัจเจกพุทธเจ้า  ทรงคอยหาโอกาสจะเสด็จไปยังที่อยู่ของพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้ทรงศีล  ทรงเห็นพระราชนิเวศน์ประดุจขุมนรก  ทรงดำริแต่วา

"เมื่อไรหนอ  เราจะได้ออกจากมิถิลานคร  ซึ่งมีสมบัติมหาศาล  มีความเจริญรุ่งเรือง  มีปราสาทราชมนเทียรงดงามพรั่งพร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์และล้วนแต่มีความเจริญในด้านต่าง ๆ  อีกมากมาย  เมื่อไรหนอ  เราจะได้ปลงผม  ครองผ้า  อุ้มบาตรและจาริกไปตามป่า  สมความปรารถนา"

ทรงมั่นพระทัยเด็ดเดี่ยวอยู่เช่นนี้  จึงตัดสินพระทัยว่า  "เรา  จักบวชเดี๋ยวนี้"  แล้วรับสั่งแก่ราชบุรุษที่เชิญเครื่องว่า   "เจ้าจงไปหาผ้าย้อมน้ำฝาดกับบาตรมาให้เรา  อย่าให้ใครรู้"

ราชบุรุษรับพระราชกระแสรับสั่งมาแล้ว  ก็จัดหาเครื่องบริขารนำไปถวาย  พระราชามหาชนกตรัสให้ภูษามาลาปลงพระเกศา  พระมัสสุ  แล้วทรงครองผ้ากาสาวพัสตร์  เสด็จจงกรมไปมาบนพระมหาปราสาท  ทรงทำอยู่ดังนี้ประมาณ  ๔-๕  วัน  เห็นว่า  เป็นสุขแน่  ทรงเปล่งอุทานว่า   "โอ บรรพชาเป็นสุขหนอ  เป็นสุขประเสริฐหนอ  เป็นสุขอย่างยิ่งหนอ"

พระราชามหาชนก  ประทับอยู่ภายในพระมหาปราสาทตลอดวัน  มิได้เสด็จออกไปภายนอก  วันหนึ่ง  เวลาย่ำรุ่ง  ทรงครองเครื่องบรรพชิตครบถ้วน  คล้อยถลกบาตรที่พระอังสา  ทรงธารพระกร  เสด็จลงจากปราสาท  ขณะนั้นพระนางสีวลีพร้อมด้วยคนสนิท  ๗๐๐  นาง  ไปเฝ้าพระราชา  สวนทางกับพะมหาชนกตรงหน้าปราสาท  พระนางสีวลีจำพระสวามีไม่ได้  เข้าใจว่าพระปัจเจกพุทธเจ้ามาถวายโอวาทพระสวามี  จึงถวายนมัสการแล้วพากันขึ้นบนปราสาท  เมื่อขึ้นไปถึงภายในปราสาท  เห็นพระเกศาและห่อเครื่องราชาภรณ์ไม่เห็นพระราชา  ก็เข้าใจทันทีว่า   "บรรพชิตที่สวนทางมาเมื่อกี้นี้ไม่ใช่พระปัจเจกพุทธเจ้าแน่  ต้องเป็นพระสวามี"   ไม่รอช้า  พระนางสีวลีตรัสให้ทุกคนที่ตามเสด็จไปรีบลงมาจากปราสาท  ติดตามพระสวามมี  มาทันพระราชาที่หน้าพระลาน  พระนางสีวลีตรงเข้าไปหมอบลงที่พระบาทแล้วจับยึดไว้  ถูพระพักตร์เกลือกไปมา  ทรงกันแสงสะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสาร  บรรดาหญิงที่ติดตามต่างกลิ้งเกลื้อกโศหาอากูรรำพันว่า   "โอ  พระทูลกระหม่อมแก้ว  ไฉนพระองค์จึงได้ทรงทอดทิ้งพวกกระหม่อมฉันเสียเล่า  พระเจ้าข้า"

ขณะนั้น  ข่าวการสละราชสมบัติออกบรรพชาของพระราชามหาชนก็แพร่สะพัดไป  มหาชนได้ทราบก็พากันร่ำไห้อาลัยติดตามพระราชาไป

พระราชามหาชนก  แม้ทอดพระเนตรเห็นผู้จงรักภักดี  ทั้งบุรุษสตรีเสนามาตย์ราชบริพาร  มาทูลวิงวอนร่ำไห้รำพันอยู่เช่นนั้น  พระองค์มิได้มีพระทัยวอกแวก  กลับทรงมั่นพระทัยที่จะเสด็จออกไปเสียโดยเร็ว  จึงมิได้ทรงหยุดยั้ง  เสด็จไปด้วยอการอันสงบ


..............................................



จาก....หนังสือทศชาติชาดก  (พระเจ้าสิบชาติ
โดย....แปลก สนธิรักษ์















วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

พระมหาชนก (๑๒)



"ลูกผู้ชายควรหวังเข้าไว้  ไม่ควรเบื่อหน่ายใน
การงาน  เราสำเร็จความปรารถนา  ๒  ประการ  คือ  เป็น
พระราชาสมความปรารถนา ๑   ได้ขึ้นบกสมความ
ปรารถนา ๑   เพราะเราไม่หมดความหวัง

คนมีปัญญา  แม้ได้รับทุกข์  ก็ไม่ควรสิ้นความหวัง
เพื่อทำตนให้ได้รับสุข  เป็นความจริง  คนส่วนมาก
เมื่อได้รับทุกข์ก็ทำแต่สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์  เมื่อได้
สุขจึงทำสิ่งที่เป็นประโยชน์  คนเหล่านี้ขาดความ
สำเหนียกในข้อที่ว่า  ' คนที่มีปัญญาแม้ได้รับทุกข์  ก็
ไม่ควรสิ้นความหวัง  เพื่อทำตนให้ได้รับสุข '  จึงต้องตาย

บางอย่าง  เราไม่เคยคิดเลย  แต่ก็ปรากฏขึ้นได้
บางอย่างแม้เราเคยคิดไว้  แต่ก็ไม่เป็นไปตามความคิด

เราไม่เคยคิดเลยว่า  เราจะได้ราชสมบัติโดยไม่
ต้องรบ  แต่ก็ปรากฏแก่เราแล้ว

เราเคยคิดว่า  เราจะชิงราชสมบัติในสุวรรณภูมิ
แต่การณ์ก็ไม่ปรากกฏให้เป็นไปเช่นนั้น

เป็นความจริง  โภคสมบัติไม่สำเร็จขึ้นได้เพียง
ความคิดชนิดสร้างวิมานบนอากาศ  สำเร็จได้เพราะ
ความเพียร  จึงควรทำความเพียร  อย่าสักแต่คิด"

พระราชามหาชนกทรงตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม  ปกครองราษฏรให้ได้รับความร่มเย็นเป็นสุขตลอดมา ทรงอุปถัมภ์พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายด้วยศรัทธาอันแรงกล้า  

ครั้นกาลล่วงมา  พระนางสีวลีมเหสีประสูติพระราชโอรสองค์หนึ่ง  พระชนชนนีขนานพระนามว่า 
"ทีฆาวุราชกุมาร"  เมื่อทีฆาวุราชกุมารเจริญวัย  พระราชบิดาทรงสถาปนาให้ดำรงตำแหน่งอุปราช

วันหนึ่ง  พระราชามหาชนกเสด็จประพาสพระราชอุทยาน  ทอดพระเนตรเห็นมะม่วง  ๒  ต้น  ตนหนึ่งกิ่งหักใบร่วงโกร๋น  อีกต้นหนึ่งมีใบแน่นหนาสีเขียวชอุ่มร่มเย็นราบรื่น  จึงตรัสถามอำมาตย์ที่ตามเสด็จว่า  ไทำไมมะม่วง  ๒  ต้นนี้จึงเป็นไปอย่างนั้น ? "

อำมาตย์กราบทูลว่า  "ขอเดชะ  ต้นหนึ่งมีผลดก  และมีรสหวานน่ารับประทาน  คนทั้งหลายต่างก็สอยบ้าง  ขว้างบ้าง หักบ้าง  เพื่อเอาผลมารับประทาน  จึงเป็นเช่นนั้น  อีกต้นหนึ่งไม่มีผล  ไม่มีใครไปทำลาย  จึงมีใบหนาทึบอยู่เช่นนั้น  พระเจ้าข้า"

พระราชามหาชนกได้สดับดังนั้น  ก็สลดพระทัย  ได้ความคิดขึ้นว่า  "ต้นไม้ที่มีผลมีรสอร่อย  มักถูกหักทำลาย  เช่นมะม่วงต้นนั้น  ส่วนต้นที่ไม่มีผลก็มีใบหนาทึบสะพรั่งอยู่  ราชสมบัติเปรียบเหมือนต้นไม้มีผล  อาจถูกทำลายวันใดวันหนึ่งก้็ได้  แม้ยังไม่ถูกทำลายก็ทำให้เกิดกังวลเฝ้าแหนรักษา  ภัยเกิดแก่ผู้มีความกังวล  บรรพชาเปรียบเหมือนต้นไม้ที่ไม่มีผล  ไม่ทำให้เกิดกังวล  เพราะภัยย่อมไม่มีแก่ผู้ที่ไม่มีกังวล  เราจะไม่ยอมทำตนเหมือนต้นไม้มีผล  เราจะทำตนเหมือนต้นไม้ไม่มีผล  เราจะสละราชสมบัติออกบรรพชาแน่นอน"  เมื่อทรงมั่นพระทัยเช่นนั้น  จึงเสด็จกลับเข้าพระราชวัง  รับสั่งประชุมเสนาบดีว่า  "ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป  เราขอมอบราชการทุกอย่างให้แก่อุปราชโอรสของเราดูแลแทน  เราจะขออยู่อย่างสงบ  ห้ามผู้คนเข้าไปรบกวนเรา  นอกจากพนักงานเชิญเครื่องกับพนักงานถวายน้ำบ้วนพระโอษฐ์เท่านั้น"  ตรัสสั่งเสร็จแล้วพระองค์ก็เสด็จเข้าพระมหาปราสาท  ทรงเจริญสมณธรรมอยู่่องค์เดียว


.....................................



จาก....หนังสือทศชาติชาดก  (พระเจ้าสิบชาติ)
โดย....แปลก  สนธิรักษ์









วันอังคารที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2560

พระมหาชนก (๑๑)



จากนั้น  พระราชามหาชนกก็รับสั่งให้ขุดขุมทรัพย์ภายใน  คือ  ภายในธรณีพระทวารใหญ่  ก็พบขุมทรัพย์  รับสั่งให้ขุดขุมทรัพย์ภายนอก  คือ  ภายนอกธรณีพระทวารใหญ่ ก็พขุมทรัพย์  รับสั่งให้ขุดขุมทรัพยไม่ใช่ภายในไม่ใช่ภายนอก คือข้างล่างธรณีพระทวารใหญ่  ก็พบขุมทรัพย์  รับสั่งให้ขุดขุมทรัพย์ขาขึ้น  คือ  ตรงที่ประทับเสด็จขึ้นมงคลหัตถี  ก็พบขุมทรัพย์

จากนั้น  พระราชามหาชนกก็รับสั่งให้ขุดขุมทรัพย์ตามลำดับ  คือ

ขุมทรัพย์ภายใน  คือ  ขุดตรงภายในธรณีพระทวารใหญ่

ขุมทรัพย์ภายนอก  คือ  ขุดตรงภายนอกธรณีพระทวารใหญ่

ขุมทรัพย์ขาขึ้น  คือ  ขุดตรงเกยที่ประทับเสด็จขึ้นมงคลหัตถี

ขุมทรัพย์ขาลง  คือ  ขุดตรงที่เสด็จลงจากคอช้าง

ขุมทรัพย์ที่ไม้รังทั้งสี่  คือ  ขุดภายใต้เท้าพระแท่นบรรทม  ซึ่งทำด้วยไม้รังซึ่งตั้งจากพ้นดินขึ้นมา

ขุมทรัพย์ที่หนึ่งโยชน์โดยรอบ  คือ  ขุดตรงพระที่สิริไสยาสน์  โดยรอบประมาณชั่วแอก  เพราะการนับโยชน์สมัยนั้น  นับเท่าชั่วแอกเป็นโยชน์

ขุมทรัพย์ที่ปลายงาทั้งสอง  คือ  ขุดตรงที่งาทั้งสองของมงคลหัตถียื่นออกไป

ขุมทรัพย์ปลายหาง  คือ  ขุดตรงที่ปลายหางของมงคลหัตถีเหยียดไป

ขุมทรัพย์ที่น้ำ  คือ  ขุดตรงที่สระโบกขรณี

ขุมทรัพย์ที่ปลายไม้  คือ  ขุดตรงโคนไม้รังใหญ่ในพระราชอุทยาน  ถือเงาไม้เวลาเที่ยงวัน  ปลายไม้เป็นเงาปกอยู่ที่โคน

เมื่อรับสั่งให้ขุดตรงไหน  ก็พบขุมทรัพย์ทุกแห่ง  มหาชนต่างพากันแสดงความร่าเริงยินดี   สรรเสริญความมหัศจรรย์ในทางปัญญาของพระมหาชนกอยู่เซ็งแซ่

พระมหาชนกราชได้ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ครองมิถิลานครให้ให้ความร่มเย็นแก่พสกนิกรตลอดเวลา  โปรดให้สร้างศาลาทาน  ๖  แห่ง  คือท่ามกลางพระนคร  ๑  แห่ง  ที่ประตู ๑  แห่ง  ที่ประตูพระราชวัง  ๑  แห่ง  ทรงบริจาคมหาทานเป็นประจำ  โปรดให้เชิญพระราชมารดา  และพราหมณ์ปุโรหิตมาจากจัมปานคร  ทรงอุปถัมภ์บำรุงท่านทั้งสองให้ไ้ด้ความสุขกายสบายใจตลอดมา

ชาวเมืองมิถิลาเมื่อได้ทราบว่าพระราชามหาชนกที่ขึ้นครองราชสมบัติองค์ใหม่นี้  เป็นพระโอรสของพระเจ้าอริฏฐะ  ต่างก็ดีใจนำเครื่องบรรณาการมาถวาย  จัดการสมโภชน์  มีมหรสพภายในพระนคร  ได้ช่วยกันตกแต่งพระราชนิเวศน์ห้อยพวงบุปผามาลัย  จัดน้ำและอาหารใส่ภาชนะเงินภาชนะทองคำ  นำขึ้นน้อมเกล้าถวายเป็นเครื่องราชบรรณาการ  ผู้เข้าเฝ้าได้ประจำอยู่ตามประรำที่จัดไว้ บรรดาอำมาตย์ราชเสวกเฝ้าอยู่ประรำหนึ่ง  นางสนมกำนัลในเฝ้าอยู่ประรำหนึ่ง  ประชาชนเฝ้าอยู่รอบ ๆ  พราหมณ์สาธยายมนต์อำนวยความสวัสดี  ผู้มาเฝ้ากล่าวคำถวายชัยมงคลกึกก้องโกลาหล  บรรดาคณะดนตรีก็ขับร้องประสานเสียงกันอย่างเอิกเกริก  เป็นที่รื่นรมย์โสมนัสยิ่ง

พระราชามหาชนกประทับบนพระราชอาสน์ภายใต้พระมหาเศวตฉัตร  ทอดพระเนตรเห็นความเอิกเกริกโกลาหล  ที่ประชาชนได้มาแสดงความจงรักภักดีต่อพระองค์เช่นนั้น  ก็ทรงระลึกคราวที่พระองค์พยายามว่ายข้ามมหาสมุทร  ไม่ย่อท้อถอย  จนนางมณีเมขลาเห็นความอุตสาหะอันแรงกล้า  ได้พาข้ามไปจนสำเร็จ  เพราะความพยายามที่ทำมานั้น  จึงเป็นเหตุให้รับผล คือ  ครองราชสมบัตินี้  เมื่อทรงหวนระลึกดังนั้น  ก็ทรงปีติโสมนัสซาบซ่าน  ทรงเปล่งอุทานด้วยความปีติว่า


...............................


จาก....หนังสือทศชาติชาดก  (พระเจ้าสิบชาติ)
โดย....แปลก  สนธิรักษ์

















วันพุธที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2560

พระมหาชนก (๑๐)


พระราชามหาชนกได้เสด็จไปตามพระราชอัธยาศัยโดยที่พระนางไม่ทรงทราบล่วงหน้า  เสด็จขึ้นมหาปราสาทแล้ว  เลยเข้าไปข้างใน  พระนางสีวลีตกพระทัย  รีบเสด็จลุกจากพระแท่น  รงเข้าถวายให้เกี่ยวพระกร พระราชาทรงเกี่ยวพระกรพระราชธิดา  เสด็จประทับนั่งภายใต้มหาเศวตฉัตร  ตรัสเรียกมหาอำมาตย์มาตรัสถามว่า   "เมื่อพระราชาของพวกท่านจะเสด็จสวรรคต  ได้ตรัสสั่งอะไรไว้บ้าง ?"  มหาอำมาตย์กราบทูลให้ทรงทราบว่า  ได้ตรัสสั่งไว้บ้างจึงโปรดให้มหาอำมาตย์เล่าถวาย

มหาอำมาตย์กราบทูลว่า   "ขอเดชะ  พระราชาของข้าระบาทได้ตรัสสั่งไว้ว่า  ให้มอบราชสมบัติแก่ผู้มีความสามารถดังต่อไปนี้

  1.  สามารถทำให้พระนางสีวลีราชธิดาทรงโปรดปรานได้
  2.  สามารถทราบหัวนอนบัลลังก์  ๔  เหลี่ยม
  3.  สามารถยกธนูที่มีน้ำหนัก  ๑,๐๐๐  แรงคนขึ้นได้
  4.  สามารถนำขุมทรัพย์  ๑๓  แห่งออกมาได้  
พระราชารับสั่งไว้ดังนี้  พระเจ้าข้า"

พระมหาชนกตรัสว่า   " ข้อ ๑   ที่ว่า  สามารถให้พระนางสีวลีราชธิดาโปรดปรานได้นั้น  บัดนี้เราก็ได้ให้พระนางโปรดปรานเราได้แล้ว  คือ  ทรงถวายพระกรให้เราเกี่ยว  ท่านทั้งหลายเห็นแล้วมิใช่หรือ ? "

อำมาตย์กราบทูลว่า   " เห็นแล้ว  พระเจ้าข้า "

พระมหาชนกตรัสว่า   " ข้อ  ๒   ที่ว่า  สามารถทราบหัวนอนบัลลังก์  ๔  เหลี่ยมนั้น  เราขอคิดดูก่อน"   เมื่อทรงตรึกตรองอยู่สักครูหนึ่ง  จึงถอดเข็มทองคำบนพระเศียร  ประทานที่พระหัตถ์พระนางสีวลี  รับสั่งว่า   " เธอจงวางเข็มทองคำนี้ไว้ "   พระนางสีวลีรับเข็มทองคำไปวางไว้ที่หัวนอนบัลลังก์  พระราชมหาชนกจึงทรงชี้ว่า   " ด้านนั้นเป็นหัวนอน "  เพราะทรงสังเกตุด้านที่พระนางสิวลีวางเข็มทองคำไว้

ข้อ  ๓   ที่ว่า  สามารถยกธนูมีน้ำหนัก  ๑,๐๐๐  แรงคน  พระราชามหาชนกรับสั่งให้นำธนูนั้นมาแล้วทรงยกขึ้นได้อย่างง่ายดาย

ข้อ  ๔  ที่ว่า  ที่ว่า  สามารถนำขุมทรัพย์  ๑๓  แห่งออกมาได้นั้น  พระราชามหาชนกตรัสว่า   " ขุมทรัพย์  ๑๓  แห่งนั้นที่ไหนบ้าง ? "  อำมาตย์ก็กราบทูลให้ทรงทราบามที่กล่าวไว้แล้วในตอนต้น  มีขุมทรัพย์ดวงอาทิตย์ขึ้นเป็นต้น

พระราชามหาชนก  ทรงพิจารณาปัญหาอยู่สักครู่หนึ่งแล้วตรัสถามว่า   "ที่ภายในพระราชวังนี้  เคยมีพระปัจเจกพุทธเจ้ามารับบิณฑบาตบ้างหรือเปล่า ? " 

อำมาตย์กราบทูลว่า   " มี  พระเจ้าข้า "

พระราชามหาชนกตรัสถามว่า   " พระราชาของพวกท่านเสด็จไปต้อนรับพระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นประจำตรงไหน ? "   เมื่ออำมาตย์กราบทูลให้ทรงทราบ  ก็สั่งให้ขุดตรงนั้นพบขุมทรัพย์  แล้วตรัสถามต่อไปว่า   " เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้ากลับ  พระราชาของพวกท่านเสด็จไปส่งแล้วประทับยืนตรงไหน ? "   อำมาตย์ก็กราบทูลให้ทรงทราบ  รับสั่งให้ขุดพบขุมทรัพย์อีก  เป็นอันว่า  ได้พบขุมทรัพย์ที่ดวงอาทิตย์ขึ้น  คือ  ตรงที่พระราชาเสด็จไปต้อนรับพระปัจเจกพุทธเจ้า  พบขุมทรัพย์ที่ดวงอาทิตย์ตก  คือ  ตรงที่เสด็จไปส่งพระปัจเจกพุทธเจ้า

มหาชนต่างโห่ร้องเซ็งแซ่่ถวายสาธุการ  สรรเสริญพระปัญญาของพระมหาชนกราชา


..................................


จาก....หนังสือทศชาติชาดก   (พระเจ้าสิบชาติ)

โดย....แปลก  สนธิรักษ์








วันเสาร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2560

พระมหาชนก (๙)



พระมหาชนกได้ยินเสียงดนตรรีก็ตื่นจากบรรทม  เปิดผ้าคลุมทอดพระเนตรเห็นบุษยราชรถก็ทรงดำริว่า   " เราคงได้เป็นราชาครองราชสมบัติในเมืองนี้แน่แท้ "  แล้วก็คลุมพระเศียรอย่างเดิม  พลิกพระวรกายบรรทมต่อไป  มิได้ทรงแสดงอาการตื่นเต้นตกใจแต่อย่างไร

ปุโรหิตตรงไปเปิดผ้าคลุมพระบาทตรวจดูลักษณะ  เห็นลักษณะต้องตามพยากรณศาสตร์ว่า  บุรุษที่มีลักษณะเช่นนี้  อย่าว่าแต่จะครองราชสมบัติเพียงทวีปเดียวเลย  ต่อให้ทั้งี่ทวีปก็สามารถครองได้  จึงประกาศพระลักษณะให้มหาชนที่รอฟังวามอยู่  ณ  ที่นั้นให้ทราบ  แล้วให้ดนตรีประโคมอีกครั้งหนึ่ง

พระมหาชนกทรงเปิดผ้าคลมทอดพระเนตรดูหน่อยหนึ่งแล้วพลิกวรกายบรรทมต่อไป

ปุโรหิตเห็นว่า  บุรุษผู้นี้มีบุญญาธิการสมควรได้ราชสมบัติ  จึงนั่งลงกราบถวายบังคมว่า   " ขอเดชะ  ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท  ขอพระองค์เสด็จลุกขึ้นเถิด  บัดนี้ราชสมบัติแห่งมิลิลานครได้มาถึงพระองค์แล้ว  พระเจ้าข้า "

พระมหาชนกตรัสถามปุโรหิตว่า   " พระเจ้าอยู่หัวของท่านไปไหนเสียเล่า ? "

ปุโรหิตกราบทูลว่า   " ได้เสด็จสวรรคตเสียแล้ว  พระเจ้าข้า "

พระมหาชนกตรัสว่า   " ถ้าเช่นนั้นดีแล้ว  เราจักครองราชสมบัติ "  แล้วเสด็จลุกขึ้นประทับนั่งบนแผ่นหินอันเป็นมงคล

ขณะนั้น  มหาชนพร้อมด้วยเสนามาตย์ราชปุโรหิตาจารย์ต่างก็ถวายราชาภิเษกพระมหาชนก  ณ  ที่นั้น  แล้วทูลขอพระนามพระองค์  พระมหาชนกรับสั่งว่า  "เราชื่อมหาชนก  บัดนี้ท่านทั้งหลายได้จัดพิธีราชาภิเษกแก่เราแล้ว  เราจึงมีชื่อว่า  มหาชนกราชา "

พระมหาชนกราชได้เสด็จเข้าพระนคร  ตรงเข้าพระราชมนเทียรเสด็จเลยเข้าถึงฝ่ายใน

พระนางสีวลีราชธิดาทรงทราบว่า   " เสนามาตย์ราชปุโรหิตได้จัดการอภิเษกบุรุษผู้หนึ่งเป็นพระราชา  ทรงพระนามว่า  พระมหาชนกราช  บัดนี้  พระมหาชนกราชได้เสด็จเข้ามาอยู่ในพระราชวังฝ่ายในแล้ว"  จึงทรงดำริที่จะทดลอง  จึงรับสั่งเรียกราชบุรุษคนหนึ่งมาเฝ้าแล้วตรัสว่า  " นี่แน่  เจ้าจงไปทูลพระมหาชนกราชว่า  พระนางสีวลีราชธิดามีพระประสงค์จะทรงพบ  ขอได้โปรดรีบเสด็จไปเฝ้าโดยไวเถิด"   ราชบุรุษรับกระแสรับสั่งของพระนางแล้วก็ไปเฝ้าพระมหาชนกราช  กราบทูลตามที่พระนางสั่ง

พระราชามหาชนกทรงสดับคำกราบทูลของราชบุรุษดังนั้น  ก็ทรงทำเป็นไม่ได้ยิน  ทรงเสแสร้งทำเป็นชมปราสาทว่า   "แหม  ปราสาทนี้งามตระการยิ่งนัก  เป็นบุญของเราแล้วที่ได้อยู่ปราสาทนี้ "   แม้ราชบุรุษจะกราบทูล  ๒  ครั้ง  ๓  ครั้ง  ก็ทรงทำเป็นไม่ได้ยิน

ราชบุรุษเมื่อเห็นว่า  พระราชามิได้ทรงสนพระทัยในคำกราบทูลของตน  จึงกลับไปเฝ้าพระราชธิดา  กราบทูลว่า   "ข้าแต่พระนาง  หม่อมฉันได้กราบทูลแด่พระราชาตามกระแสรับสั่งของพระนาง  แต่พระราชามิได้ทรงสนพระทัยกับคำกราบทูลนั้นเลย  กลับทรงชมมหาปราสาทอยู่ตลอดเวลา  พระเจ้าข้า "

พระราชธิดาทรงดำริว่า   " พระราชาองค์นี้ฉลาดมาก "   ได้ทรงสั่งราชบุรุษไปกราบทูลอีก  ๒  ครั้ง  ๓  ครั้งก็ไม่สำเร็จ  เป็นอันจนพระทัย  คอยเฝ้าดูเหตุการณ์ต่อไป


........................................


จาก....หนังสือศชาติชาดก  (พระเจ้าสิบชาติ)
โดย....แปลก  สนธิรักษ์