เมื่อเวลาผ่านไปหลาย ๆ วันเข้า มหาชนไม่เห็นพระราชาของตนเสด็จออกตรวจราชกิจ จึงมาประชุมกันที่หน้าพระลานหลวง พูดกันว่า "พระราชาของพวกเราไม่เหมือนก่อนเสียแล้ว ไม่เห็นออกทรงตรวจตราราชการ ไม่เห็นเสด็จทอดพระเนตรการฟ้อนรำขับร้อง ไม่เห็นเสด็จประพาสพระราชอุทยาน พระองค์ทรงทำเป็นเหมือนคนไข้ ประทับนิ่งเฉยอยู่ในพระมหาปราสาท"
พระราชามหาชนกทรงมั่นพระทัยแน่วในวิเวก ทรงสละกามกิเลส ทรงระลึกถึงแต่เหล่าพระปัจเจกพุทธเจ้า ทรงคอยหาโอกาสจะเสด็จไปยังที่อยู่ของพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้ทรงศีล ทรงเห็นพระราชนิเวศน์ประดุจขุมนรก ทรงดำริแต่วา
"เมื่อไรหนอ เราจะได้ออกจากมิถิลานคร ซึ่งมีสมบัติมหาศาล มีความเจริญรุ่งเรือง มีปราสาทราชมนเทียรงดงามพรั่งพร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์และล้วนแต่มีความเจริญในด้านต่าง ๆ อีกมากมาย เมื่อไรหนอ เราจะได้ปลงผม ครองผ้า อุ้มบาตรและจาริกไปตามป่า สมความปรารถนา"
ทรงมั่นพระทัยเด็ดเดี่ยวอยู่เช่นนี้ จึงตัดสินพระทัยว่า "เรา จักบวชเดี๋ยวนี้" แล้วรับสั่งแก่ราชบุรุษที่เชิญเครื่องว่า "เจ้าจงไปหาผ้าย้อมน้ำฝาดกับบาตรมาให้เรา อย่าให้ใครรู้"
ราชบุรุษรับพระราชกระแสรับสั่งมาแล้ว ก็จัดหาเครื่องบริขารนำไปถวาย พระราชามหาชนกตรัสให้ภูษามาลาปลงพระเกศา พระมัสสุ แล้วทรงครองผ้ากาสาวพัสตร์ เสด็จจงกรมไปมาบนพระมหาปราสาท ทรงทำอยู่ดังนี้ประมาณ ๔-๕ วัน เห็นว่า เป็นสุขแน่ ทรงเปล่งอุทานว่า "โอ บรรพชาเป็นสุขหนอ เป็นสุขประเสริฐหนอ เป็นสุขอย่างยิ่งหนอ"
พระราชามหาชนก ประทับอยู่ภายในพระมหาปราสาทตลอดวัน มิได้เสด็จออกไปภายนอก วันหนึ่ง เวลาย่ำรุ่ง ทรงครองเครื่องบรรพชิตครบถ้วน คล้อยถลกบาตรที่พระอังสา ทรงธารพระกร เสด็จลงจากปราสาท ขณะนั้นพระนางสีวลีพร้อมด้วยคนสนิท ๗๐๐ นาง ไปเฝ้าพระราชา สวนทางกับพะมหาชนกตรงหน้าปราสาท พระนางสีวลีจำพระสวามีไม่ได้ เข้าใจว่าพระปัจเจกพุทธเจ้ามาถวายโอวาทพระสวามี จึงถวายนมัสการแล้วพากันขึ้นบนปราสาท เมื่อขึ้นไปถึงภายในปราสาท เห็นพระเกศาและห่อเครื่องราชาภรณ์ไม่เห็นพระราชา ก็เข้าใจทันทีว่า "บรรพชิตที่สวนทางมาเมื่อกี้นี้ไม่ใช่พระปัจเจกพุทธเจ้าแน่ ต้องเป็นพระสวามี" ไม่รอช้า พระนางสีวลีตรัสให้ทุกคนที่ตามเสด็จไปรีบลงมาจากปราสาท ติดตามพระสวามมี มาทันพระราชาที่หน้าพระลาน พระนางสีวลีตรงเข้าไปหมอบลงที่พระบาทแล้วจับยึดไว้ ถูพระพักตร์เกลือกไปมา ทรงกันแสงสะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสาร บรรดาหญิงที่ติดตามต่างกลิ้งเกลื้อกโศหาอากูรรำพันว่า "โอ พระทูลกระหม่อมแก้ว ไฉนพระองค์จึงได้ทรงทอดทิ้งพวกกระหม่อมฉันเสียเล่า พระเจ้าข้า"
ขณะนั้น ข่าวการสละราชสมบัติออกบรรพชาของพระราชามหาชนก็แพร่สะพัดไป มหาชนได้ทราบก็พากันร่ำไห้อาลัยติดตามพระราชาไป
พระราชามหาชนก แม้ทอดพระเนตรเห็นผู้จงรักภักดี ทั้งบุรุษสตรีเสนามาตย์ราชบริพาร มาทูลวิงวอนร่ำไห้รำพันอยู่เช่นนั้น พระองค์มิได้มีพระทัยวอกแวก กลับทรงมั่นพระทัยที่จะเสด็จออกไปเสียโดยเร็ว จึงมิได้ทรงหยุดยั้ง เสด็จไปด้วยอการอันสงบ
..............................................
จาก....หนังสือทศชาติชาดก (พระเจ้าสิบชาติ
โดย....แปลก สนธิรักษ์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น