ค้นหาบล็อกนี้

วันพฤหัสบดีที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2560

พระมหาชนก (๑๕)



พระราชามหาชนกตรัสว่า   "เอาเถอะ  เราจะบอกให้  เมื่อประชาชนให้พระโอรสครองราชสมบัติแล้ว ขอให้พระนางคอยตักเตือนดูแลพระราชโอรสให้ได้ศึกษาสำเหนียกราชประเพณีของกษัตริย์  และวิธีการปกครองราษฏรให้อยู่เย็นเป็นสุข  คอยตักเตือนห้ามปรามพระโอรสให้งดเว้นในทางทุจริตทางกาย วาจา  ใจ  ให้ตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรมเถิด"

เมื่อทั้งสองพระองค์ตรัสโต้ตอบกันอยู่ก็ถึงเวลาพลบ  พระนางสีวลีจึงไปตั้งค่ายประทับอยู  ณ  ที่แห่งหนึ่ง  พระราชามหาชนกประทับที่ร่มไม้แห่งหนึ่ง  ประทับอยู่นตลอดคืน

รุ่งเช้า  พระราชามหาชนกเสด็จดำเนินไปตามหนทาง  พระนางสีวลีพร้อมด้วยอำมาตย์ราชบริพารก็เสด็จตามไปภายหลัง  กษัตริย์ทั้งสองเสด็จไปถึงถูนนคร  พอดีได้เวลาภิขาจาร

ขณะนั้น  มีชายผู้หนึ่งซื้อก้อนเนื้อชิ้นใหญ่มาจากโรงฆ่าสัตว์  แล้วเอาไม้เสียบย่างให้สุก  วางบนพื้นกระดานเพื่อจะให้เย็น  ขณะที่ชายผู้นั้นเผลอ  สุนัขตัวหนึ่งก็มาคาบเอาก้อนเนื้อนั้นไป  ชายเจ้าของเนื้อไล่สุนัข  เมื่อเห็นไม่ทันก็กลับ  ฝ่ายสุนัขวิ่งมาพอดีพบพระราชามหาชนกกับพระนางสีวลีข้างหน้า  จึงตกใจทิ้งก้อนเนื้อหนีไป  พระราชามหาชนกทอดพระเนตรเห็นก้อนเนื้อที่สุนัขทิ้งไว้  ทรงดำริว่า   "ก้อนเนื้อชิ้นนี้สุนัขนำมาทิ้งไว้  ทั้งไม่มีเจ้าของติดตามมา  เราจักพิจารณาก้อนเนื้อชิ้นนี้นำไปเป็นอาหาร"   เมื่อดำริดังนั้นแล้วจึงเสด็จไปหยิบเอาก้อนเนื้อนั้นมาปัดฝุ่นใส่ลงในบาตร  แล้วประทับนั่งเสวยก้อนเนื้อนั้นตามแบบของสมณะ

พระนางสีวลีทอดพระเนตรเห็นพระราชสามีเสวยก้อนเนื้อที่สุนัขมาทิ้งไว้นั้น  จึงทรงดำริว่า   "ถ้าพระสวามีของเรายังคงปรารถนาจะครองราชสมบัติอยู่  คงจะไม่เสวยก้อนเนื้อเช่นนี้  ซึ่งแสนที่จะสกปรกและน่าเกลียด  ทั้งเป็นเดนสุนัข  แต่พระองค์กลับเสวยได้  น่าที่พระองค์จะไม่ทรงคิดกลับไปครองราชสมบัติและเป็นพระราชสามีของเราเป็นแน่แล้ว"   เมื่อดำริดังนั้นจึงกราบทูลว่า   "โอ  พระทูลกระหม่อม  ช่างเสวยเนื้อที่สกปรกอย่างนั้นได้"

พระราชาตรัสว่า   "พระเทวีเอ๋ย  ไม่รู้จักบิณฑบาตพิเศษเพราะความโง่เขลาของเธอ"   แล้วพระองค์ก็เสวยก้อนเนื้อ  ปรากฏมีรสโอชา  เมื่อเสวยเสร็จก็เสด็จดำเนินต่อไป   พระนางสีวลีพร้อมด้วยข้าราชบริพารก็เสด็จตามไปด้วย  เมื่อเสด็จถึงประตููถูนนคร  ทอดพระเนตรเห็นเด็กหญิงคนหนึ่ง  เอากระด้งน้อย ๆ  ฝัดทรายเล่นอยู่  กำไลที่สวมอยู่ที่ข้อมือข้างหนึ่งมีเสียงดัง  ส่วนที่สวมอยู่อีกข้างหนึ่งไม่มีเสียงดัง  พระราชามหาชนกทรงทราบเหตุที่เป็นดังนั้น  จึงทรงดำริว่า   "เราจะเข้าไปถามเด็กหญิงเพื่อให้เธอตอบเรื่องกำไลมือข้างหนึ่งมีเสียง  อีกข้างหนึ่งไม่มีเสียง  อาจเกิดประโยชน์ในทางคติธรรมแก่พระนางสีวลีและผู้ติดตามบ้าง"   เมื่อทรงดำริดังนี้  จึงเสด็จเข้าไปตรัสถามเด็กหญิงนั้นว่า   "นี่แน่ะหนู  เราอยากจะถามว่า  เพราะเหตุใดกำไลมือของหนูข้างหนึ่งจึงมีเสียงดัง  อีกข้างหนึ่งไม่มีเสียงเดัง"

เด็กหญิงนั้นทูลว่า   "ข้าแต่ท่านนักบวช  กำไลมือที่ท่านได้ยินเสียงนั้นเพราะมันกระทบกัน  คือ  มี  ๒ อัน  ส่วนอีกข้างหนึ่งไม่มีเสียงนั้น  เพราะมีอันเดียว  ก็เหมือนคนนั้นแหละเจ้าค่ะ  ถ้าอยู่กันตั้งแต่ ๒  คนขึ้นไป  ก็ต้องมีการกระทบกระทั่งกัน  ถ้าอยู่คนเดียวก็สงบ  เพราะไม่รู้ว่าจะไปกระทบกับใคร  เป็นดังนี้แหละเจ้าค่ะ"

พระมหาชนกได้สดับธรรรมของเด็กหญิงนั้น  เพื่อจะให้เกิดคติแก่พระนางสีวลี  จึงตรัสว่า   "ดูก่อนพระนาง  เธอได้ยินถ้อยคำที่เด็กนั้นกล่าวหรือไม่  เด็กหญิงเป็นเพียงสาวชาวบ้านธรรมดา  ยังพูดให้เราได้ความคิด  คล้ายกับเธอจะติเตียนเราที่เห็นเราเป็นนักบวช  แต่ก็มีผู้คนมากมายติดตามเรามา  ซึ่งผิดวิสัยของนักบวชที่ดี  ตามธรรมดาจะต้องอยู่ผู้เดียวอย่างสงบ  แค่นี่กลับมีเธอเป็นต้น ติดตามมา  ซึ่งไม่น่าดูเสียเลย  ต่อไปนี้เธออย่าเรียกเราว่าเป็นพระสวามีและเราก็จะไม่ถือว่่าเธอเป็นมเหสีอีกต่อไป"


...........................................


จาก....หนังสือทศชาติชาดก  (พระเจ้าสิบชาติ)
โดย....แปลก  สนธิรักษ์













ไม่มีความคิดเห็น: