ค้นหาบล็อกนี้

วันพุธที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2559

พระมหาชนก (๘)


เสนาบดีเมื่อได้รับพระอนุญาตก็ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระนาง  เพื่อหวังจะให้ทรงโปรดปราน  ขัดเขมรโจงกระเบนให้มั่นแล้วก็วิ่งไปเฝ้าพระนาง  หอบหายใจอยู่ตรงพระพักตร์

พระราชธิดาทรงทดลองต่อไปรับสั่งว่า   " เสนาบดีท่านจงรีบเดินไปตามพื้นตำหนักให้ถึงท้องพระโรงโดยไว"

เมื่อเสนาบดีรีบเดินไป  ก็รับสั่งให้คนไปบอกว่า  ให้รีบเดินกลับมา  เสนาบดีก็รีบเดินกลับตามรับสั่ง  พระราชธิดาเหยียดพระบาทออกแล้วตรัสว่า  " ท่านเสนาบดีนวดเท้าให้เราหน่อย "   เสนาบดีก็นั่งลงนวดเท้าพระราชธิดา  มีความกระหยิ่มยิ้มย่องนึกว่า  พระราชธิดาคงโปรดแน่  ทันใดนั้นเอง  พระราชธิดาก็ถีบเข้าที่อกจนเสนาบดีล้ม  แล้วรับสั่งกับพวกข้าหลวงว่า   " พวกเจ้าจงจับคอคนโง่หาปัญญามิได้นี้ออกไปแล้วทุบตีเสียให้สาสม  ค่าที่มันไม่เจียมตัว "  พวกข้าหลวงต่างตรงเข้าจับคอบ้าง  มือบ้าง  ลากออกจากพระราชวัง  แล้วพากันทุบตีจนเสนาบดีบอกช้ำ

เสนาบดีเมื่อถูกเข้าเช่นนั้นก็แสนที่จะละอาย  เดินโซเซหน้าซีดออกมา  เมื่อมีใครถามว่า   " ท่านครับ  เป็นอย่างบ้าง  สำเร็จไหม ? "   เสนาบดีบอกว่า   " สำเร็จอะไรกัน  พระราชธิดาองค์นี้คงไม่ใช่มนุษย์แน่  น่ากลัวคงเป็นนางยักษิณีผีป่า  เราถูกทั้งเท้า  ทั้งเข่า  ทั้งศอก  ทั้งหมัด  บอกบช้ำไปหมดแล้ว "

บุคคลที่ถูกคัดเลือกเข้าไปให้พระราชธิดาทรงทดองความฉลาด  เช่น  ขุนคลัง  เศรษฐี  เจ้าพนักงานเชิญเครื่องสูง  เจ้าพนักงานพระแสง  แต่ละคนก็ถูกพระราชธิดาทดลองปัญญา  บอกให้วิ่งก็วิ่ง  บอกให้เต้นก็เต้น  บอกให้ร้องก็ร้อง  ทำเป็นเหมือนคนบ้าจี้  ในที่สุดก็ถูกพระราชธิดาขับไลให้ออกจากพระราชวังหมด

อำมาตย์ผู้ใหญ่เมื่อเห็นว่าไม่มีใครจะทำให้พระราชธิดาทรงโปรดได้  ก็ปรึกษากันว่า   " เราควรมอบราชสมบัติให้แก่ผู้ที่สามารถยกสหัสถามธนูได้ "   เมื่อประกาศหาผู้ที่สามารถยกธนูก็ไม่มีใครยกได้  ให้หาผู้ที่รู้จักหัวนอนบัลลังก์ ๔  เหลี่ยม  ผู้ที่สามารถนำขุมทรัพย์  ๑๓  แห่งออกได้  ก็ไม่มีผู้สามารถ  เมื่อหาผู้ที่สามารถไม่ได้สักอย่างเดียว  อำมาตย์จึงปรึกษากันว่า   " จะทำอย่างไรดี  แว่นแคว้นที่ไีม่มีพระราชาปกครองจะลำบาก"

ขณะนั้น  ปุโรหิตผู้เป็นที่นับถือของราชสำนักได้กล่าวกะมหาอำมาตย์ว่า  " ท่านทั้งหลายอย่าวิตกไปเลย  เราควรเสี่ยงบุษยราชรถออกไป  เพราะผู้ที่เชิญเสด็จมาด้วยบุษยราชรถนั้นสมควรเป็นพระราชาครองราชสมบัติในสกลชมพูทวีปได้"   เมื่อทุกคนเห็นชอบตามที่ท่านปุโรหิตพูด  ก็เตรียมบุษยราชรถเทียมม้าขาว  ๔  ตัว  จัดพระที่นั่งบนราชรถและมีเครื่องราชกกุธภัณฑ์ทั้ง ๕  ประดิษฐานบนรถ  มีเหล่าจตุรงคเสนาล้อมบุษยราชรถ  มีประโคมดนตรีอยู่เบื้องหลัง  ตามธรรมดาถ้ามีพระราชาประทับบนบุษยราชรถ  ต้องประโคมดนตรีข้างหน้า  ถ้าไม่มีพระราชาประทับก็ประโคมข้างหลัง  แล้วเอาพระเต้าทองรินน้ำประพรมสายหนัง  เชือก  แอก  ปฏัก  ตั้งอธิษฐานว่า   " หากผู้ใดมีบุญญาธิการสมควรครองราชสมบัติ  ขอให้ราชรถจงไปยังที่อยู่ของผู้นั้นเถิด "   อธิษฐานเสร็จแล้วก็ปล่อยราชรถนั้นไป

บุษยราชรถอออกจากพระราชมนเทียรแล่นเข้าทางหลวง  ออกจากพระนครแล่นตรงไปยังพระราชอุทยาน  แล้วหยุดอยู่ตรงแผ่นศิลามงคล

ปุโรหิตตามไปดูตรงที่ราชรถหยุดนั้น  ได้เห็นบุรุษผู้หนึ่งนอนหลับอยู่  จึงเรียกพวกอำมาตย์มาแล้วชี้ให้ดูบุรุษที่กำลังนอนอยู่บนแผ่นหิน  พูดว่า  "บุรุษผู้นี้เราไม่เคยเห็นมาก่อนเลย  และเราก็ยังรู้ไม่ได้ว่า  เขาจะสมควรเป็นราชาของพวกเราหรือไม่  เอาอย่างนี้  เราจะทดลองบุรุษผู้นี้ดูก่อน  ให้วงดนตรีประโคมดนตรีขึ้นพร้อมกัน  ถ้าบุรุษผู้นี้มีปัญญาก็คงสงบอยู่ ไม่ลุก  ไม่แลดู  ถ้าเป็นคนโง่กาลกิณีก็จะตกใจรีบลนลานลุกหนีไป  พวกท่านจะเห็นอย่างไร "  อำมาตย์ทั้งหลายเห็นด้วยกับปุโรหิต  ปุโรหิตจึงให้วงดนตรีบรรเลงขึ้นพร้อม ๆ กัน  เสียงดนตรีดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่ว


...................................



จาก....หนังสืือทศชาติชาดก  (พระเจ้าสิบชาติ)
โดย....แปลก  สนธิรักษ์

















วันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2559

พระมหาชนก (๗)


พระราชาโปลชนกตรัสบอกว่า  "ขุมทรัพย์ใหญ่  ๑๓  แห่งนั้น  คือ


  1.  ขุมทรัพย์ที่ดวงอาทิตย์ขึ้น
  2.  ขุมทรัพย์ที่ดวงอาทิตย์ตก
  3.  ขุมทรัพย์ภายใน
  4.  ขุมทรัพย์ภายนอก
  5.  ขุมทรัพย์ไม่ใช่ทั้งภายในและภายนอก
  6.  ขุมทรัพย์ขาขึ้น
  7.  ขุมทรัพย์ขาลง
  8.  ขุมรัพย์ที่ไม้รังทั้งสี่
  9.  ขุมทรัพย์ที่หนึ่งโยชน์โดยรอบ
  10.  ขุมทรัพย์ที่ปลายงาทั้งสอง
  11.  ขุมทรัพย์ที่ปลายหาง
  12.  ขุมทรัพย์ที่น้ำ
  13.  ขุมทรัพย์ที่ปลายไม้ "
พระเจ้าโปลชนกตรัสบอกแล้วก็สวรรคต  อำมาตย์ทั้งหลายจัดการถวายพระเพลิงพระศพเสร็จเรียบร้อยสมพระเกียรติทุกประการ

หลังจากพระเจ้าโปลชนกสวรรคตครบ  ๗  วัน  เหล่าอำมาตย์ปรึกษากันถึงเรื่องที่พระราชาตรัสไว้ว่า ให้มอบราชสมบัติแก่ผู้ที่สามารถทำให้พระราชธิดาทรงพอพระทัย  ปรึกษาตกลงกันว่า  " เห็นแต่ท่านมหาเสนาบดีเท่านั้นที่จะทำให้พระนางพอพระทัย  เพราะท่านมหาเสนาบดีเป็นราชพัลลภใกล้ชิดกับพระราชาตลอดมา "  จึงส่งข่าวไปให้มหาเสนาบดีทราบ

มหาเสนาบดีพอได้ทราบข่าวเช่นนั้นก็แสนที่จะดีใจ  นึกว่า  คงได้เป็นกษัตริย์ครองแผ่นดินคราวนี้แน่  จึงแต่งตัวอย่างโอ่อ่าเข้าไปพระราชวัง  ให้คนติดตามเข้าไปกราบทูลพระนางสีวลีราชธิดาให้ทรงทราบ  ถึงเหตุที่ตนมา  พระนางสีวลีเมื่อทรงทราบว่า  เสนาบดีมาเพื่อให้ทรงเลือก  พระนางจึงทรงทดลองดูเพื่อให้รู้แน่ว่า  เสนาบดีคนนี้จะคู่ควรแก่สิริราชสมบัติหรือไม่  จึงรับสั่งให้ไปบอกเสนาบดีให้เข้ามาเร็ว ๆ  วิ่งมาได้ยิ่งดี

วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2559

พระมหาชนก (๖)



พระมหาชนกเมื่อจะทรงทำให้นางมณีเมขลาจำนนต่อถ้อยคำ  จึงตรัสว่า

" ดูก่อนแม่เทพธิดา  ผู้ที่รู้ว่า  การงานที่ทำไม่ลุล่วงไปได้
ไม่คิดป้องกันอันตรายไว้ก่อน  ก็ชื่อว่าไม่รักษาชีวิตของตน
ถ้าเขาเลิกละความเพียรนั้นเสีย  ก็จะได้รับผลของ
ความเกียจคร้านเป็นแน่

ดูก่อนเทพธิดา  บุคคลเมื่อได้เห็นผลตามที่ประสงค์แล้ว
ควรเร่งประกอบการงาน  แม้การงานนั้นจะสำเร็จหรือไม่ก็ตามที

ดูก่อนแม่เทพธิดา  ท่านได้เห็นผลของความพยายาม
ประจักษ์แก่ตาท่านแล้วไม่ใช่หรือว่า  
คนที่มากับเรือได้จมหายตายไปในมหาสมุทรหมด  
เหลือเราเพียงคนเดียวเท่านั้น  ที่พยายามว่ายอยู่  
จึงรอดตายได้เห็นหน้าแม่เทพธิดาอยู่ในบัดนี้

ดูก่อนแม่เทพธิดา  เราจักต้องพยายาทำความ
เพียรอย่างที่ลูกผู้ชายควรทำไปจนสุดกำลัง   เพื่อ
ข้ามให้ถึง  ฝั่งจนได้ "


นางมณีเมขลาได้ฟังสุนทรกถาของพระมหาชนก  ก็เกิดความเลื่อมใส  กล่าวสรรเสริญว่า

" ท้องมหาสมุทรทั้งลึกทั้งกว้างใหญ่ไพศาล  แต่
ท่านก็พยายามจะว่ายข้ามไปให้ถึงฝั่ง  สมเป็นลูกผู้ชาย
ขอให้ท่านจงไปถึงสถานที่สมความปรารถนาเถิด "


ครั้นแล้วนางมณีเมขลาก็ตรงลงช้อนอุ้มพระมหาชนกประคองแนบไว้กับทรวงอก  พาเหาะไปในอากาศ พระมหาชนกเมื่อถูกกายอันเป็นทิพย์สัมผัสเช่นนั้น  ก็บรรทมหลับไ ป  นางมณีเมขลาพาไปยังกรุงมิถิลา  วางไว้บนแผ่นหินในสวนมะม่วง  ฝากให้เทพยดาที่รักษาสวนคุ้มกันพระมหาชนกด้วยดี  แล้วนางก็กลับไป

ย้อนกล่าวถึงพระเจ้าโปลชนกกษัตริย์แห่งมิถิลา  พระองค์เสด็จสวรรคตมาได้  ๗  วันแล้ว  พระองค์ไม่มีราชโอรสจะสืบราชสมบัติ  ทรงมีแต่ราชธิดาพระนามว่า   " เจ้าหญิงสีวลี "   เจ้าหญิงมีความเฉลียวฉลาดเฉียบแหลมมากศชาติชาดก  (พระเจ้าสิบชาติ)
ขณะที่พระเจ้าโปลชนกประชวรหนักใกล้จะเสด็จสวรรคต  อำมาตย์ผู้ใหญ่ได้ทูลถามว่า   " ขอเดชะ  ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท  พระราชโอรสที่จะสืบสมบัติต่อจากพระองค์ไม่มี  เมื่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทเสด็จสวรรคตแล้ว  ข้าพระพุทธเจ้าจะถวายราชสมบัติแก่ใคร  พระพุทธเจ้าข้า ? "

พระเจ้าโปลชนกมีพระดำรัสว่า   " ท่านทั้งหลายจงมอบราชสมบัติแก่ผู้ที่มีความสามารถดังต่อไปนี้ คือ

  1. สามารถทำให้เจ้าหญิงสีวลีธิดาของเรายินดีได้
  2. สามารถรู้หัวนอนบัลลังก์สี่เหลี่ยม
  3. สามารถยกธนูหนักประมาณ  ๑,๐๐๐  แรงคนขึ้นได้
  4. สามารถนำขุมทรัพย์ใหญ่  ๑๓  แห่งออกมาได้   
หากมีผู้สามารถดังกล่าวแล้ว  ขอให้ท่านมอบราชสมบัติให้แก่เขาเถิด"

อำมาตย์กราบทูลว่า   " ขอเดชะ  ขอใต้ฝ่าพระบาทตรัสบอกปัญหาขุมทรัพย์  ๑๓  แห่ง  แก่ข้าพระพุทธเจ้าเถิด "


.........................................


จาก....หนังสือทศชาติชาดก  (พระเจ้าสิบชาติ)
โดย....แปลก  สนธิรักษ์














วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2559

พระมหาชนก (๕)


มหาชนกกุมารโอรส  เมื่อได้ทรัพย์จากพระมารดาแล้ว  ก็นำไปซื้อสินค้า  ขนลงบรรทุกเรือร่วมกับพ่อค้าชาวสุวรรณภูมิ  เมื่อขนเสร็จเรียบร้อย  ก็กลับมาเฝ้าพระมารดา  ถวายบังคมแล้วทูลว่า   "ข้าแต่พระมารดา  หม่อมฉันขอทูลลาไปสุวรรณภูมิ "   แม้พระมารดาจะทรงทักท้วงห้ามปรามสักเท่าไร  มหาชนกกุมารก็ตัดสินพระทัยไปจนได้

มหาชนกกุมารขึ้นเรือร่วมไปกับพ่อค้าประมาณ  ๗๐๐  คน  เมื่อแล่นเรือไปได้  ๗  วัน  เรือถูกคลื่นใหญ่ตีจนแผ่นกระดานเรือแตก  น้ำไหลเข้าช่องที่แตก  เรือได้อัปปางลงในท่ามกลางทะเลหลวง  บรรดาพ่อค้าและลูกเรือต่างอกสั่นขวัญหายส่งเสียงเอ็ดอึงด้วยกลัวตาย  ต่างร้องไห้รำพันเพ้อ  บวงสรวงเทพเจ้าเพื่อขอให้ปลอดภัย

พระมหาชนกกุมาร  ประทับนั่งด้วยอาการอันสงบ  มิได้แสดงอาการตกใจหวาดกลัว  เมื่อทรงทราบว่าเรือจะจมแน่แล้ว  จึงเอาขัณฑกรกับเนยใสคลุกให้เข้ากัน  แล้วเสวยจนอิ่ม  เอาผ้าเนื้อเกลี้ยงชุบน้ำมันจนชุ่ม  แล้วเอามานุ่งอย่างแน่นหนา  ยืนพิงเสากระโดง  เมื่อเรือจมไปทีละน้อย  จวนถึงเสากระโดงก็ปีนขึ้นปลายเสากระโดง  บรรดาผู้คนในเรือต่างจมน้ำเป็นภักษาหารของปลาและสัตว์ร้าย  น้ำรอบ ๆ  เป็นสีเลือด  พระมหาชนกกุมารประทับยืนอยู่ปลายเสากระโดง  ทรงสังเกตทิศที่ตั้งเมืองมิถิลา  และกระโดดจากปลายเสากระโดงลงพื้นน้ำ  และพระองค์ก็แหวกว่ายฝ่าคลื่นในมหาสมุทรอยู่ตลอด  ๗  วัน  ซึ่งปรากฏแก่พระองค์เหมือนวันเดียว  ขณะที่ทรงแหวกว่ายในมหาสมุทรอยู่นั้น  เมื่อถึงวันเพ็ญพระองค์ก็บ้วนพระโอษฐ์และสมาทานอุโบสถศีล

นางมณีเมขลา  เทพธิดามีหน้าที่ดูแลรักษามหาสมุทร  เมื่อเห็นพระมหาชนกแหวกว่ายอยู่ในมหาสมุทรเช่นนั้น  จึงเหาะเข้าไปใกล้พระมหาชนก  แล้วกล่าวเพื่อจะทดลองน้ำพระทัยของพระมหาชนกว่า   "ใครหนอเมื่อมองไม่เห็นฝั่ง  ก็ยังอุตส่าห์พยายามว่ายอยู่ในท่ามกลางมหาสมุทร   ท่านเห็นประโยชน์อะไรหรือ  จึงพยายามว่ายอยู่อย่างนี้ "

พระมหาชนกเมื่อได้ยินเสียงถามมา  ทรงดำริว่า   "เราว่ายอยู่ในมหาสมุทร  ๗  วัน  เช้าวันนี้แล้ว
ไม่เคยได้ยินเสียงใครเลย ใครหนอมาพูดกับเราวันนี้"   แล้วก็แหงนดูบนอากาศ  ทอดพระเนตรเห็นนางมณีเมขลา  จึงตรัสว่า   "อานิสงส์แห่งความเพียรนั้นมีอยู่  ถึงแม้จะไม่เห็นฝั่ง  เราก็ต้องพยาามว่ายจนกระทั่งถึงเช้าวันหนึ่ง"

นางมณีเมขลาปรารถนาจะฟังคติธรรมของพระมหาชนกต่อไป  จึงกล่าวว่า   "ฝั่งมหาสมุทรกว้างขวางใหญ่หลวงไม่ปรากฏแก่ท่าน  แม้ท่านจะพยายามสักเท่าไร  ไม่ทันถึงฝั่งก็จะตายเสียก่อน"

พระมหาชนกกุมารตรัสกะนางมณีเมขลาว่า

"บุคคลทำความเพียรอยู่  แม้ถึงจะตายขณะทำความเพียรนั้น ก็ชื่อว่าไม่ต้องเป็นหนี้  ไม่ต้องถูกญาติ เทวดา  มารดาบิดา  ติเตียน
อนึ่ง    เมื่อได้ทำกิจอย่างลูกผู้ชายแล้ว  ก็ไม่ต้องเดือดร้อนในภายหลัง"

นางมณีเมขลากล่าวต่อไปว่า

"การพยายามทำการงานที่ไม่เห็นจุดหมาย  มีแต่ความยากลำบาก  และอาจถึงตายในที่สุดได้
จะทำความพยายามอันไม่ใช่ฐานะนั้นไปทำไม"  


.........................................


าก....หนังสือทศชาติชาดก  (พระเจ้าสิบชาติ)
โดย....แปลก  สนธิรักษ์







วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2559

พระมหาชนก (๔)




พระเทวีตรัสว่า   "พระสวามีของดิฉัน  ถูกเจ้าโปลชนกมหาอุปราช  ผู้เป็นพระอนุชาปลงพระชนม์  ดิฉันกลัวภัยจะมาถึงตัว  จึงได้หนีมา  ด้วยหวังว่าจะถนอมครรภ์ไว้กอน"

ท่านอาจารย์ทิศาปาโมกข์ทูลถามว่า  "ในพระนครนี้มีใครเป็นพระญาติของระนางบ้าง ? "

พระเทวีตรัสว่า   "ไม่มีเลยจ้ะ "

อาจารย์ทิศาปาโมกข์ทูลว่า  " ถ้าเช่นนั้น  หม่อมฉันผู้เป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์  จะขอรับพระนางไว้ในฐานะน้องสาว  และจะบำรุงพระนางให้ทรงพระสำราญ  ขอพระนางทรงอย่าคิดเป็นอย่างอื่นเลย "

พระเทวีทรงพอพระทัยที่ได้ท่านอาจารย์ทิศาปาโมกข์เป็นที่พึ่งพำนักจึงตรัสขอฝากชีวิตและโอรสในครรภ์ไว้กับท่านอาจารย์ทิศาปาโมกข์  อาจารย์ทิศาปาโมกข์พาพระนางไปประทับที่บ้านของตน  แม้ภรรยาของอาจารย์ทิศาปาโมกข์ก็มีความเคารพรักให้ความอุปการะแก่พระนางเป็นอย่างดี

พระนางอาศัยอยู่กับท่านอาจารย์ทิศาปาโมกข์ไม่นาน  ก็ประสูติพระโอรส  ทรงพระรูปโฉมงดงาม พระนางขนานพระนามพระโอรสว่า   "มหาชนกกุมาร"   ซึ่งเป็นพระนามของพระอัยกา

มหาชนกกุมารเจริญวัยแล้ว  ทรงเล่นอยู่กับพวกเด็ก ๆ  พระองค์มีพระกำลังมาก  หากเด็กคนใดทำให้พระองค์ขัดเคือง  มหาชนกกุมารก็จับเด็กนั่นฉุดลากไปมาจนเด็กนั้นร้องไห้เสียงขรม  เมือใครถามว่า   " หนู  ใครข่มเหงเอา "   เด็กนั้นก็ตอบว่า  "ลูกหญิงหม้ายข่มเหง "   มหาชนกกุมารเมื่อได้สดับดังนั้นจึงดำริว่า   " ทำไมเด็กนั้นจึงว่า  เราเป็นลูกหญิงแม่หม้าย  เราจะต้องถามมารดาให้รู้แน่ "

วันหนึ่ง  พระกุมารทูลถามพระมารดาว่า   "แม่จ๋า ทำไมเด็ก ๆ  มันจึงพูดว่า  ฉันเป็นลูกหญิงแม่หม้าย  พ่อฉันไม่มีหรอกหรือ ?"

พระนางตรัสลวงว่า   " ก็อาจารย์ทิศาปาโมกข์นั่นอย่างไรล่ะ  บิดาของลูก"

อยู่มาวันหนึ่ง  มหาชนกกุมารถูกพวกเด็ก ๆ  พูดอีกว่า   "เป็นลูกแม่หม้าย "   มหาชนกกุมารจึงบอกว่า อาจารย์ทิศาปาโมกข์เป็นบิดาของตน  เด็ก ๆ  พากันหัวเราะลั่น  ที่เห็นว่า  มหาชนกกุมารตู่ว่าอาจารย์ทิศาปาโมกข์เป็นบิดา  ต่างพากันตะโกนว่า ไม่จริง ๆ  อาจารย์ทิศาปาโมกข์ไมใช่บิดาเจ้า "

พระเทวีไม่อาจจะลวงพระโอรสต่อไปได้  จึงตรัสบอกความจริงให้โอรสฟังตั้งแต่ต้น  จนกระทั่งพระนางได้มาอาศัยอยู่กับท่านอาจารย์ทิศาปาโมกข์  ตั้งแต่นั้นมา  พระกุมารก็หายกริ้วต่อผู้ที่ว่าตนเป็นลูกหญิงแม่หม้าย  เพราะได้ทราบความจริงหมดแล้ว

มหาชนกกุมารได้ศึกษาศิลปศาสตร์ในสำนักอาจารย์ทิศาปาโมกข์  สำเร็จเมื่อพระชนม์  ๑๖  พรรษา พระราชกุมารทรงดำริจะเอาราชสมบัติซึ่งเป็นมรดกของพระชนกคืนให้ได้  จึงทูลถามพระชนนีว่า   " ข้าแต่พระมารดา  เมื่อพระมารดาเสด็จหนีลี้ภัยมา  มีทรัพย์สมบัติอะไรติดมือมาบ้าง  หากมีหม่อมฉันจะนำไปขาย  เมื่อได้ทรัพย์มาก็จะได้ประกอบการค้าต่อไป  เมื่อได้ทรัพย์มากพอแล้ว  หม่อมฉันคิดจะเอาราชสมบัติของพระชนกคืนให้ได้"

พระมารดาตรัสว่า   "ลูกรัก  แม่ไม่ได้มามือเปล่า  แม่เอาของสำคัญมา  ๓  อย่าง  คือ  แก้วมณี  แก้วมุกดา  แก้ววิเชียร  แก้วทั้ง  ๓  ชนิดนี้  แต่ละอย่างมีราคามาก  ลูกจงรับเอาไปเถิด "

พระโพธิสัตว์ทูลว่า   "ข้าแต่พระมารดา  หม่อมฉันขอเพียงกึ่งหนึ่ง  หม่อมฉันจะไปทำการค้าที่เมืองสุวรรณภูมิ  เมื่อรวบรวมทรัพย์ได้มากพอ  หม่อมฉันก็จะเอาราชสมบัติของพระชนกคืน "   พระมารดาได้ประทานทรัพย์กึ่งหนึ่งให้แก่โอรส


..................................


จาก....หนังสือทศชาติชาดก  (พระเจ้าสสิบชาติ)
โดย....แปลก  สนธิรักษ์










วันเสาร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

พระมหาชนก (๓)



พระนางตรัสว่า   " ท่านเจ้าขา  ดิฉันจะไปจ้ะ "

ท้าวสักกะแปลง   " ถ้าเช่นนั้น  เชิญแม่ขึ้นยานของข้าพเจ้าเถิด  "

พระนาง   " ท่านเจ้าขา  ฉันมีครรภ์แก่  ไม่อาจขึ้นยานได้  จะขอเดินตามไปข้างหลัง  แต่ขอฝากกระเช้าไปด้วย "

ท้าวสักกะแปลง   " แม่อย่ากลัวไปเลย  เชิญขึ้นนั่งบนยานเถิด  ข้าพเจ้ารับรองว่า  จะมิให้กระทบกระเทือนครรภ์ของแม่เลย "   ในขณะที่พระเทวีจะเสด็จขึ้นยาน  ด้วยเดชานุภาพของพระโอรสที่อยู่ในพระครรภ์ก็บันดาลให้แผนดินสูงขึ้น  ทำให้พระเทวีเสด็จขึ้นประทับบนยานโดยไม่ต้องปืนป่าย  เมื่อพระนางขึ้นบนยานแล้ว  ก็บรรทมหลับทันที

ท้าวสักกะแปลงขับยานไปถึงแม่น้ำแห่งหนึ่ง  เป็นระยะทางไกลถึง  ๓๐  โยชน์  จอดยานที่แม่น้ำนั้น  แล้วปลุกพระเทวีให้ตื่นจากบรรทม ให้พระนางลงอาบน้ำ  เตรียมของเสวยให้พระนาง  เมื่อพระเทวีอาบน้ำและเสวยเสร็จแล้วก็ขึ้นประทับบนยานแล้วบรรทมต่อไป  ท้าวสักกะแปลงขับยานไปจนกระทั่งเย็นก็ถึงกาลจัมปานคร  พอดีกับพระนางตื่นจากบรรทม  ได้ทอดพระเนตรเห็นประตู  ป้อม  คู  หอรบ  และกำแพงพระนคร  จึงตรัสถามท้าวสักกะแปลงว่า   " นี่เมืองอะไรจ้ะ ? "

ท้าวสักกะแปลงทูลว่า   " นี่คือเมืองกาลจัมปากะละแม่ "

พระนางทรงค้านว่า   " นี่อะไรกันท่านเจ้าขา  เมืองกาลจัมปากะ  กับเมืองที่ดิฉันอยู่ไกลกันประมาณ  ๖๐  โยชน์  ไฉนจึงถึงไวเช่นนี้  เห็นจะไม่ใช่ละกะมั้ง"

ท้าวสักกะแปลงทูลว่า   " เป็นจริงอย่างที่แม่ว่า  แต่เพราะข้าพเจ้ารู้จักทางลัด  จึงเดินทางถึงได้เร็ว"   ท้าวสักกะแปลงได้เชิญพระเทวีลงจากยานแล้วชี้ไปข้างหน้า  ตรัสว่า   " นั่นบ้านของตา  ขอให้แม่เดินทางเข้าสู่พระนครเถิด "   ตรัสแล้วก็ทำเป็นเดินไปข้างหน้าหน่อยหนึ่ง  และหายวับไป  พระเทวีเสด็จไปประทับอยู่  ณ  ศาลาแห่งหนึ่ง

ขณะนั้น  มีพราหมณ์ทิศาปาโมกข์คนหนึ่ง  พร้อมด้วยศิษย์หลายร้อยคนพากันไปอาบน้ำ  ขณะเดินผ่านก็ได้เห็นพระเทวีประทับนั่งอยู่บนศาลา  ท่านทิศาปาโมกข์ก็เกิดความรักใคร่เอ็นดูเหมือนน้องสาวร่วมมารดา  จึงให้พวกศิษย์รออยู่ข้างนอกก่อน  ทานทิศาปาโมกข์เข้าไปที่ศาลาแต่ผู้เดียว  ตรงเข้าไปหาพระเทวี   ถามว่า   " แม่เป็นชาวเมืองไหนจ๊ะ ? "

พระเทวีตรัสว่า   " ท่านเจ้าขา  ดิฉันเป็นชาวเมือมิถิลา  เป็นอัครมเหสีของพระเจ้าอริฏฐชนก "

 ท่านอาจารย์ทิศาปาโมกข์ทูลถามว่า   " พระนางเสด็จมาเมืองนี้เพื่อประสงค์อันใด ? "




วันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

พระมหาชนก (๒)


ฝ่ายพระราชาอริฏฐชนก  รับสั่งให้ทหารเที่ยวติดตามจับเจ้าโปลชนกทุกแห่งที่สงสัยว่าพระมหาอุปราชจะหลบซ่อนอยู่  แต่ก็ไม่สามารถจะจับได้

เจ้าโปลชนกมหาอุปราชเสด็จลี้ภัยไปประทับอยู่  ณ  บ้านชายแดนหลายเพลา ยิ่งนานวันเข้าก็ทรงเกลี้ยกล่อมผู้คนชาวชนบทได้มากขึ้นเป็นลำดับ  มีพวกพ้องบริวารมาก  จึงทรงดำริว่า  "เราเป็นผู้บริสุทธิ์   มีจิตจงรักภักดีต่อพระเชษฐาธิราช  มิได้คิดคดทรยศเลย  แต่เรากลับถูกหาว่าเป็นผู้ทรยศจนต้องหนีมาพึ่งชาวบ้านอยู่เช่นนี้  บัดนี้เรามีพวกพ้องมากพอแล้ว  เราจะต้องก่อเวรกับพระเชษฐาล่ะ"  เมื่อทรงดำริดังนั้นแล้ว  จึงตรัสเรียกประชุมพลนิกายทั้งหมด  แล้วยกพลจากบ้านชายแดนมุ่งตรงกรุงมิถิลา  เมื่อจวนจะถึง  รับสั่งให้ตั้งค่ายพักอยู่ภายนอกพระนคร


จะกล่าวถึงเหล่าทหารแห่งกรุงมิถิลา  เมื่อได้ทราบว่า  เจ้าโปลชนกมหาอุปราชเสด็จนำกองพลใหญ่หลวงมา  ต่างก็นำอาวุธยุทโธปกรณ์  อีกทั้งช้างม้าเป็นต้น  มามอบถวายเจ้าโปลชนกมหาอุปราช  บรรดาชาวเมืองต่างก็พากันสมัครเข้าด้วยกับเจ้าโปลชนกเป็นจำนวนมาก  เจ้าโปลชนกทรงส่งสาสน์ไปถึงพระเชษฐาธิราชว่า  "ขอเชะ  ข้าพระพุทธเจ้ามิได้คิดคดทรยศต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท  แต่ต้องถูกใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจับจองจำข้าพระพุทธเจ้า  เพราะทรงเชื่อถ้อยคำใส่ไคล้ของอำมาตย์สอพลอ  ข้าพระพุทธเจ้าจำเป็นจำใจต้องหนีลี้ภัย  บัดนี้ถึงคราวแล้วที่ข้าพระพุทธเจ้าจะต้องก่อเวรกับใต้ฝ่าละอองธุุลีพระบาท  ขอพระองค์จงทรงพระวินิจฉัยให้ถ่องแท้ว่าจะพระราชทานพระมหาเศวตฉัตรให้แก่ข้าพระพุทธเจ้า  หรือจะทำสงครามกับข้าพระพุทธเจ้า  ขอให้ทรงเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง"

พระราชาอริฏฐชนกได้ทรงสดับสาสนของเจ้าโปลชนก  ทรงสะดุ้งหวาดกลัว  ไม่ทรงปรารถนาจะทำสงคราม  จึงตรัสปรึกษาพระอัครมเหสีว่า  "ดูก่อนพระน้อง  การรบไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่าจะแพ้หรือชนะ  หากจะมีอันตรายเกิดขึ้นแก่ตัวเรา  พระน้องจงรักษาพระครรภไว้ให้ปลอดภัยเถิด"

เมื่อตรัสดังนั้น  แล้วก็เสด็จออกกรีธาทัพมุ่งตรงไปยังค่ายของเจ้าโปลชนก  ได้ถูกทหารของเจ้าโปลชนกปลงพระชนม์เสียในสนามรบนั่นเอง

ชาวเมืองมิถิลา  เมื่อได้ทราบว่า  พระเจ้าอยู่หัวของตนถูกปลงพระชนม์สวรรคตแล้ว  ต่างก็ตื่นตระหนกตกใจเป็นโกลาหล  แม้พระอัครมเหสีของพระเจ้าอริฏฐชนก  เมื่อทรงทราบว่า  พระสวามีเสด็จสวรรคตเสียแล้ว  ก็เตรียมขอมีค่าบรรจุลงกระเช้า  เอาผ้าเก่า ๆ  ปิด  แล้วเอาข้าวสารใส่ไว้ข้างบน  เทินกระเช้าบนพระเศียร  เสด็จหนีออกจากพระนครในเวลากลางวัน  ไม่มีใครจำพระนางได้  พระนางเสด็จเรือยไปโดยไม่มีจุดหมาย  ได้ประทับบนศาลาแห่งหนึ่ง  ทรงรำพึงที่จะเสด็จไปเมืองกาลจัมปากะ  แต่ก็ไม่รู้ว่าจะไปได้อย่างไร  จะถามคนเดินทางก็ไม่มีใคร  ด้วยเดชานุภาพสัตว์ที่เกิดในครรภ์ของพระนางมิใช่สัตว์ธรรมดา  เป็นพระมหาสัตว์  จึงบันดาลให้ท้าวสักกเทวราช แปลงเพศเป็นคนแก่ขับยานเนรมิต  ซึ่งมีเตียงตั่งอยู่ในยามนั้น  ขับไปหยุดอยู่ที่ศาลาที่พระนางประทับอยู่  ท้าวสักกะแปลงลงจากยานเข้าไปทูลถามพระนางว่า  "จะมีใครไปกาลจัมปากนครบ้าง ? "


.................................




วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2559

พระมหาชนก (๑)



พระเจ้ามหาชนกกษัตริย์แห่งกรุงมิถิลาวิเทหรัฐ  ทรงมีพระราชโอรสสองพระองค์ทรงพระนามว่า  เจ้าอริฏฐชนก  องค์หนึ่ง  เจ้าโปลชนก องค์หนึง  พะราชบิดาพระราชทานตำแหน่งอุปราชแก่เจ้าอริฏฐชนก  พระราชทานตำแหน่งเสนาบดีแก่เจ้าโปลชนก

เมื่อพระเจ้ามหาชนกเสด็จสวรรคต  เจ้าอริฏฐชนกได้เสวยราชสมบัติสืบแทน  พระราชทานตำแหน่งอุปราชแก่เจ้าโปลชนกผู้เป็นพระอนุชา

ครั้นกาลต่อมา  มีอำมาตย์คนหนึ่งหาเรื่องใส่ไคล้เจ้าโปลชนกอุปราชเข้าไปกราบทูลพระเจ้าอริฏฐชนกว่า   "ขอเดชะ  บัดนี้ภัยใหญ่จะมาถึงพระองค์แล้ว  พระมหาอุปราชคิดการร้ายต่อพระองค์  โดยจะปลงพระชนม์ของพระองค์แล้ว ตั้งตนเป็นพระมหากษัตริย์  พระเจ้าข้า"   พระเจ้าอริฏฐชนกยังมิปลงพระทัยเชื่อก่อน  ครั้นอำมาตย์กราบทูลบ่อย ๆ  เข้าก็ทรงเชื่อ  หมดความรักในพระอนุชา  รับสั่งให้จับพระเจ้าโปลชนกมหาอุปราช  แล้วจองจำนำไปขังไว้  ณ  คฤหาสน์หลังหนึ่ง  ให้ควบคุมไว้อย่างแข็งแรง

เจ้าโปลชนกมหาอุปราช  เมื่อถูกราชภัยจองจำเช่นนั้น  ก็ทรงตั้งสัตยาธิษฐานว่า   "หากตัวเราคิดคดขบถต่อพระเชษฐาธิราชดังกล่าวหาแล้ว  ขอให้เครื่องจำจองอย่าได้หลุดจากมือและเท้าของเราเลย  หากตัวเรามิได้คิดคดขบถต่อพระเชษฐาธิราชแล้ว  ขอให้เครื่องจองจำจงหลุดจากมือและเท้าของเรา  และขอให้ประตูเรือนจำจงเปิดเถิด"  ในทันใดนั้นเอง  เครื่องพันธนาการก็หักออกเป็นท่อน ๆ  และประตูก็เปิดออก  เจ้าโปลชนกอุปราชก็เสด็จหนีออกไปประทับอยู่ที่บ้านชายแดนแห่งหนึ่ง  ชาวบ้านชายแดนเหล่านั้นจำพระองค์ได้ดี  จึงช่วยกันปรนนิบัติพระมหาอุปราช  ให้ทรงได้รับความสุขสำราญตลอดเวลา


................................




ปวงข้าพระพุทธเจ้า  ขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อม  
รำลึกในพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้

ปวงข้าพระพุทธเจ้า  สมาคมไทย - กวนอิม,  สวิตเซอร์แลนด์


...........................