ค้นหาบล็อกนี้

วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2559

พระมหาชนก (๕)


มหาชนกกุมารโอรส  เมื่อได้ทรัพย์จากพระมารดาแล้ว  ก็นำไปซื้อสินค้า  ขนลงบรรทุกเรือร่วมกับพ่อค้าชาวสุวรรณภูมิ  เมื่อขนเสร็จเรียบร้อย  ก็กลับมาเฝ้าพระมารดา  ถวายบังคมแล้วทูลว่า   "ข้าแต่พระมารดา  หม่อมฉันขอทูลลาไปสุวรรณภูมิ "   แม้พระมารดาจะทรงทักท้วงห้ามปรามสักเท่าไร  มหาชนกกุมารก็ตัดสินพระทัยไปจนได้

มหาชนกกุมารขึ้นเรือร่วมไปกับพ่อค้าประมาณ  ๗๐๐  คน  เมื่อแล่นเรือไปได้  ๗  วัน  เรือถูกคลื่นใหญ่ตีจนแผ่นกระดานเรือแตก  น้ำไหลเข้าช่องที่แตก  เรือได้อัปปางลงในท่ามกลางทะเลหลวง  บรรดาพ่อค้าและลูกเรือต่างอกสั่นขวัญหายส่งเสียงเอ็ดอึงด้วยกลัวตาย  ต่างร้องไห้รำพันเพ้อ  บวงสรวงเทพเจ้าเพื่อขอให้ปลอดภัย

พระมหาชนกกุมาร  ประทับนั่งด้วยอาการอันสงบ  มิได้แสดงอาการตกใจหวาดกลัว  เมื่อทรงทราบว่าเรือจะจมแน่แล้ว  จึงเอาขัณฑกรกับเนยใสคลุกให้เข้ากัน  แล้วเสวยจนอิ่ม  เอาผ้าเนื้อเกลี้ยงชุบน้ำมันจนชุ่ม  แล้วเอามานุ่งอย่างแน่นหนา  ยืนพิงเสากระโดง  เมื่อเรือจมไปทีละน้อย  จวนถึงเสากระโดงก็ปีนขึ้นปลายเสากระโดง  บรรดาผู้คนในเรือต่างจมน้ำเป็นภักษาหารของปลาและสัตว์ร้าย  น้ำรอบ ๆ  เป็นสีเลือด  พระมหาชนกกุมารประทับยืนอยู่ปลายเสากระโดง  ทรงสังเกตทิศที่ตั้งเมืองมิถิลา  และกระโดดจากปลายเสากระโดงลงพื้นน้ำ  และพระองค์ก็แหวกว่ายฝ่าคลื่นในมหาสมุทรอยู่ตลอด  ๗  วัน  ซึ่งปรากฏแก่พระองค์เหมือนวันเดียว  ขณะที่ทรงแหวกว่ายในมหาสมุทรอยู่นั้น  เมื่อถึงวันเพ็ญพระองค์ก็บ้วนพระโอษฐ์และสมาทานอุโบสถศีล

นางมณีเมขลา  เทพธิดามีหน้าที่ดูแลรักษามหาสมุทร  เมื่อเห็นพระมหาชนกแหวกว่ายอยู่ในมหาสมุทรเช่นนั้น  จึงเหาะเข้าไปใกล้พระมหาชนก  แล้วกล่าวเพื่อจะทดลองน้ำพระทัยของพระมหาชนกว่า   "ใครหนอเมื่อมองไม่เห็นฝั่ง  ก็ยังอุตส่าห์พยายามว่ายอยู่ในท่ามกลางมหาสมุทร   ท่านเห็นประโยชน์อะไรหรือ  จึงพยายามว่ายอยู่อย่างนี้ "

พระมหาชนกเมื่อได้ยินเสียงถามมา  ทรงดำริว่า   "เราว่ายอยู่ในมหาสมุทร  ๗  วัน  เช้าวันนี้แล้ว
ไม่เคยได้ยินเสียงใครเลย ใครหนอมาพูดกับเราวันนี้"   แล้วก็แหงนดูบนอากาศ  ทอดพระเนตรเห็นนางมณีเมขลา  จึงตรัสว่า   "อานิสงส์แห่งความเพียรนั้นมีอยู่  ถึงแม้จะไม่เห็นฝั่ง  เราก็ต้องพยาามว่ายจนกระทั่งถึงเช้าวันหนึ่ง"

นางมณีเมขลาปรารถนาจะฟังคติธรรมของพระมหาชนกต่อไป  จึงกล่าวว่า   "ฝั่งมหาสมุทรกว้างขวางใหญ่หลวงไม่ปรากฏแก่ท่าน  แม้ท่านจะพยายามสักเท่าไร  ไม่ทันถึงฝั่งก็จะตายเสียก่อน"

พระมหาชนกกุมารตรัสกะนางมณีเมขลาว่า

"บุคคลทำความเพียรอยู่  แม้ถึงจะตายขณะทำความเพียรนั้น ก็ชื่อว่าไม่ต้องเป็นหนี้  ไม่ต้องถูกญาติ เทวดา  มารดาบิดา  ติเตียน
อนึ่ง    เมื่อได้ทำกิจอย่างลูกผู้ชายแล้ว  ก็ไม่ต้องเดือดร้อนในภายหลัง"

นางมณีเมขลากล่าวต่อไปว่า

"การพยายามทำการงานที่ไม่เห็นจุดหมาย  มีแต่ความยากลำบาก  และอาจถึงตายในที่สุดได้
จะทำความพยายามอันไม่ใช่ฐานะนั้นไปทำไม"  


.........................................


าก....หนังสือทศชาติชาดก  (พระเจ้าสิบชาติ)
โดย....แปลก  สนธิรักษ์







ไม่มีความคิดเห็น: