ค้นหาบล็อกนี้

วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2559

พระมหาชนก (๔)




พระเทวีตรัสว่า   "พระสวามีของดิฉัน  ถูกเจ้าโปลชนกมหาอุปราช  ผู้เป็นพระอนุชาปลงพระชนม์  ดิฉันกลัวภัยจะมาถึงตัว  จึงได้หนีมา  ด้วยหวังว่าจะถนอมครรภ์ไว้กอน"

ท่านอาจารย์ทิศาปาโมกข์ทูลถามว่า  "ในพระนครนี้มีใครเป็นพระญาติของระนางบ้าง ? "

พระเทวีตรัสว่า   "ไม่มีเลยจ้ะ "

อาจารย์ทิศาปาโมกข์ทูลว่า  " ถ้าเช่นนั้น  หม่อมฉันผู้เป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์  จะขอรับพระนางไว้ในฐานะน้องสาว  และจะบำรุงพระนางให้ทรงพระสำราญ  ขอพระนางทรงอย่าคิดเป็นอย่างอื่นเลย "

พระเทวีทรงพอพระทัยที่ได้ท่านอาจารย์ทิศาปาโมกข์เป็นที่พึ่งพำนักจึงตรัสขอฝากชีวิตและโอรสในครรภ์ไว้กับท่านอาจารย์ทิศาปาโมกข์  อาจารย์ทิศาปาโมกข์พาพระนางไปประทับที่บ้านของตน  แม้ภรรยาของอาจารย์ทิศาปาโมกข์ก็มีความเคารพรักให้ความอุปการะแก่พระนางเป็นอย่างดี

พระนางอาศัยอยู่กับท่านอาจารย์ทิศาปาโมกข์ไม่นาน  ก็ประสูติพระโอรส  ทรงพระรูปโฉมงดงาม พระนางขนานพระนามพระโอรสว่า   "มหาชนกกุมาร"   ซึ่งเป็นพระนามของพระอัยกา

มหาชนกกุมารเจริญวัยแล้ว  ทรงเล่นอยู่กับพวกเด็ก ๆ  พระองค์มีพระกำลังมาก  หากเด็กคนใดทำให้พระองค์ขัดเคือง  มหาชนกกุมารก็จับเด็กนั่นฉุดลากไปมาจนเด็กนั้นร้องไห้เสียงขรม  เมือใครถามว่า   " หนู  ใครข่มเหงเอา "   เด็กนั้นก็ตอบว่า  "ลูกหญิงหม้ายข่มเหง "   มหาชนกกุมารเมื่อได้สดับดังนั้นจึงดำริว่า   " ทำไมเด็กนั้นจึงว่า  เราเป็นลูกหญิงแม่หม้าย  เราจะต้องถามมารดาให้รู้แน่ "

วันหนึ่ง  พระกุมารทูลถามพระมารดาว่า   "แม่จ๋า ทำไมเด็ก ๆ  มันจึงพูดว่า  ฉันเป็นลูกหญิงแม่หม้าย  พ่อฉันไม่มีหรอกหรือ ?"

พระนางตรัสลวงว่า   " ก็อาจารย์ทิศาปาโมกข์นั่นอย่างไรล่ะ  บิดาของลูก"

อยู่มาวันหนึ่ง  มหาชนกกุมารถูกพวกเด็ก ๆ  พูดอีกว่า   "เป็นลูกแม่หม้าย "   มหาชนกกุมารจึงบอกว่า อาจารย์ทิศาปาโมกข์เป็นบิดาของตน  เด็ก ๆ  พากันหัวเราะลั่น  ที่เห็นว่า  มหาชนกกุมารตู่ว่าอาจารย์ทิศาปาโมกข์เป็นบิดา  ต่างพากันตะโกนว่า ไม่จริง ๆ  อาจารย์ทิศาปาโมกข์ไมใช่บิดาเจ้า "

พระเทวีไม่อาจจะลวงพระโอรสต่อไปได้  จึงตรัสบอกความจริงให้โอรสฟังตั้งแต่ต้น  จนกระทั่งพระนางได้มาอาศัยอยู่กับท่านอาจารย์ทิศาปาโมกข์  ตั้งแต่นั้นมา  พระกุมารก็หายกริ้วต่อผู้ที่ว่าตนเป็นลูกหญิงแม่หม้าย  เพราะได้ทราบความจริงหมดแล้ว

มหาชนกกุมารได้ศึกษาศิลปศาสตร์ในสำนักอาจารย์ทิศาปาโมกข์  สำเร็จเมื่อพระชนม์  ๑๖  พรรษา พระราชกุมารทรงดำริจะเอาราชสมบัติซึ่งเป็นมรดกของพระชนกคืนให้ได้  จึงทูลถามพระชนนีว่า   " ข้าแต่พระมารดา  เมื่อพระมารดาเสด็จหนีลี้ภัยมา  มีทรัพย์สมบัติอะไรติดมือมาบ้าง  หากมีหม่อมฉันจะนำไปขาย  เมื่อได้ทรัพย์มาก็จะได้ประกอบการค้าต่อไป  เมื่อได้ทรัพย์มากพอแล้ว  หม่อมฉันคิดจะเอาราชสมบัติของพระชนกคืนให้ได้"

พระมารดาตรัสว่า   "ลูกรัก  แม่ไม่ได้มามือเปล่า  แม่เอาของสำคัญมา  ๓  อย่าง  คือ  แก้วมณี  แก้วมุกดา  แก้ววิเชียร  แก้วทั้ง  ๓  ชนิดนี้  แต่ละอย่างมีราคามาก  ลูกจงรับเอาไปเถิด "

พระโพธิสัตว์ทูลว่า   "ข้าแต่พระมารดา  หม่อมฉันขอเพียงกึ่งหนึ่ง  หม่อมฉันจะไปทำการค้าที่เมืองสุวรรณภูมิ  เมื่อรวบรวมทรัพย์ได้มากพอ  หม่อมฉันก็จะเอาราชสมบัติของพระชนกคืน "   พระมารดาได้ประทานทรัพย์กึ่งหนึ่งให้แก่โอรส


..................................


จาก....หนังสือทศชาติชาดก  (พระเจ้าสสิบชาติ)
โดย....แปลก  สนธิรักษ์










ไม่มีความคิดเห็น: