ค้นหาบล็อกนี้

วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

พระมหาชนก (๑๓)



เมื่อเวลาผ่านไปหลาย ๆ  วันเข้า  มหาชนไม่เห็นพระราชาของตนเสด็จออกตรวจราชกิจ  จึงมาประชุมกันที่หน้าพระลานหลวง  พูดกันว่า  "พระราชาของพวกเราไม่เหมือนก่อนเสียแล้ว  ไม่เห็นออกทรงตรวจตราราชการ  ไม่เห็นเสด็จทอดพระเนตรการฟ้อนรำขับร้อง  ไม่เห็นเสด็จประพาสพระราชอุทยาน  พระองค์ทรงทำเป็นเหมือนคนไข้  ประทับนิ่งเฉยอยู่ในพระมหาปราสาท"

พระราชามหาชนกทรงมั่นพระทัยแน่วในวิเวก  ทรงสละกามกิเลส  ทรงระลึกถึงแต่เหล่าพระปัจเจกพุทธเจ้า  ทรงคอยหาโอกาสจะเสด็จไปยังที่อยู่ของพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้ทรงศีล  ทรงเห็นพระราชนิเวศน์ประดุจขุมนรก  ทรงดำริแต่วา

"เมื่อไรหนอ  เราจะได้ออกจากมิถิลานคร  ซึ่งมีสมบัติมหาศาล  มีความเจริญรุ่งเรือง  มีปราสาทราชมนเทียรงดงามพรั่งพร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์และล้วนแต่มีความเจริญในด้านต่าง ๆ  อีกมากมาย  เมื่อไรหนอ  เราจะได้ปลงผม  ครองผ้า  อุ้มบาตรและจาริกไปตามป่า  สมความปรารถนา"

ทรงมั่นพระทัยเด็ดเดี่ยวอยู่เช่นนี้  จึงตัดสินพระทัยว่า  "เรา  จักบวชเดี๋ยวนี้"  แล้วรับสั่งแก่ราชบุรุษที่เชิญเครื่องว่า   "เจ้าจงไปหาผ้าย้อมน้ำฝาดกับบาตรมาให้เรา  อย่าให้ใครรู้"

ราชบุรุษรับพระราชกระแสรับสั่งมาแล้ว  ก็จัดหาเครื่องบริขารนำไปถวาย  พระราชามหาชนกตรัสให้ภูษามาลาปลงพระเกศา  พระมัสสุ  แล้วทรงครองผ้ากาสาวพัสตร์  เสด็จจงกรมไปมาบนพระมหาปราสาท  ทรงทำอยู่ดังนี้ประมาณ  ๔-๕  วัน  เห็นว่า  เป็นสุขแน่  ทรงเปล่งอุทานว่า   "โอ บรรพชาเป็นสุขหนอ  เป็นสุขประเสริฐหนอ  เป็นสุขอย่างยิ่งหนอ"

พระราชามหาชนก  ประทับอยู่ภายในพระมหาปราสาทตลอดวัน  มิได้เสด็จออกไปภายนอก  วันหนึ่ง  เวลาย่ำรุ่ง  ทรงครองเครื่องบรรพชิตครบถ้วน  คล้อยถลกบาตรที่พระอังสา  ทรงธารพระกร  เสด็จลงจากปราสาท  ขณะนั้นพระนางสีวลีพร้อมด้วยคนสนิท  ๗๐๐  นาง  ไปเฝ้าพระราชา  สวนทางกับพะมหาชนกตรงหน้าปราสาท  พระนางสีวลีจำพระสวามีไม่ได้  เข้าใจว่าพระปัจเจกพุทธเจ้ามาถวายโอวาทพระสวามี  จึงถวายนมัสการแล้วพากันขึ้นบนปราสาท  เมื่อขึ้นไปถึงภายในปราสาท  เห็นพระเกศาและห่อเครื่องราชาภรณ์ไม่เห็นพระราชา  ก็เข้าใจทันทีว่า   "บรรพชิตที่สวนทางมาเมื่อกี้นี้ไม่ใช่พระปัจเจกพุทธเจ้าแน่  ต้องเป็นพระสวามี"   ไม่รอช้า  พระนางสีวลีตรัสให้ทุกคนที่ตามเสด็จไปรีบลงมาจากปราสาท  ติดตามพระสวามมี  มาทันพระราชาที่หน้าพระลาน  พระนางสีวลีตรงเข้าไปหมอบลงที่พระบาทแล้วจับยึดไว้  ถูพระพักตร์เกลือกไปมา  ทรงกันแสงสะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสาร  บรรดาหญิงที่ติดตามต่างกลิ้งเกลื้อกโศหาอากูรรำพันว่า   "โอ  พระทูลกระหม่อมแก้ว  ไฉนพระองค์จึงได้ทรงทอดทิ้งพวกกระหม่อมฉันเสียเล่า  พระเจ้าข้า"

ขณะนั้น  ข่าวการสละราชสมบัติออกบรรพชาของพระราชามหาชนก็แพร่สะพัดไป  มหาชนได้ทราบก็พากันร่ำไห้อาลัยติดตามพระราชาไป

พระราชามหาชนก  แม้ทอดพระเนตรเห็นผู้จงรักภักดี  ทั้งบุรุษสตรีเสนามาตย์ราชบริพาร  มาทูลวิงวอนร่ำไห้รำพันอยู่เช่นนั้น  พระองค์มิได้มีพระทัยวอกแวก  กลับทรงมั่นพระทัยที่จะเสด็จออกไปเสียโดยเร็ว  จึงมิได้ทรงหยุดยั้ง  เสด็จไปด้วยอการอันสงบ


..............................................



จาก....หนังสือทศชาติชาดก  (พระเจ้าสิบชาติ
โดย....แปลก สนธิรักษ์















วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

พระมหาชนก (๑๒)



"ลูกผู้ชายควรหวังเข้าไว้  ไม่ควรเบื่อหน่ายใน
การงาน  เราสำเร็จความปรารถนา  ๒  ประการ  คือ  เป็น
พระราชาสมความปรารถนา ๑   ได้ขึ้นบกสมความ
ปรารถนา ๑   เพราะเราไม่หมดความหวัง

คนมีปัญญา  แม้ได้รับทุกข์  ก็ไม่ควรสิ้นความหวัง
เพื่อทำตนให้ได้รับสุข  เป็นความจริง  คนส่วนมาก
เมื่อได้รับทุกข์ก็ทำแต่สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์  เมื่อได้
สุขจึงทำสิ่งที่เป็นประโยชน์  คนเหล่านี้ขาดความ
สำเหนียกในข้อที่ว่า  ' คนที่มีปัญญาแม้ได้รับทุกข์  ก็
ไม่ควรสิ้นความหวัง  เพื่อทำตนให้ได้รับสุข '  จึงต้องตาย

บางอย่าง  เราไม่เคยคิดเลย  แต่ก็ปรากฏขึ้นได้
บางอย่างแม้เราเคยคิดไว้  แต่ก็ไม่เป็นไปตามความคิด

เราไม่เคยคิดเลยว่า  เราจะได้ราชสมบัติโดยไม่
ต้องรบ  แต่ก็ปรากฏแก่เราแล้ว

เราเคยคิดว่า  เราจะชิงราชสมบัติในสุวรรณภูมิ
แต่การณ์ก็ไม่ปรากกฏให้เป็นไปเช่นนั้น

เป็นความจริง  โภคสมบัติไม่สำเร็จขึ้นได้เพียง
ความคิดชนิดสร้างวิมานบนอากาศ  สำเร็จได้เพราะ
ความเพียร  จึงควรทำความเพียร  อย่าสักแต่คิด"

พระราชามหาชนกทรงตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม  ปกครองราษฏรให้ได้รับความร่มเย็นเป็นสุขตลอดมา ทรงอุปถัมภ์พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายด้วยศรัทธาอันแรงกล้า  

ครั้นกาลล่วงมา  พระนางสีวลีมเหสีประสูติพระราชโอรสองค์หนึ่ง  พระชนชนนีขนานพระนามว่า 
"ทีฆาวุราชกุมาร"  เมื่อทีฆาวุราชกุมารเจริญวัย  พระราชบิดาทรงสถาปนาให้ดำรงตำแหน่งอุปราช

วันหนึ่ง  พระราชามหาชนกเสด็จประพาสพระราชอุทยาน  ทอดพระเนตรเห็นมะม่วง  ๒  ต้น  ตนหนึ่งกิ่งหักใบร่วงโกร๋น  อีกต้นหนึ่งมีใบแน่นหนาสีเขียวชอุ่มร่มเย็นราบรื่น  จึงตรัสถามอำมาตย์ที่ตามเสด็จว่า  ไทำไมมะม่วง  ๒  ต้นนี้จึงเป็นไปอย่างนั้น ? "

อำมาตย์กราบทูลว่า  "ขอเดชะ  ต้นหนึ่งมีผลดก  และมีรสหวานน่ารับประทาน  คนทั้งหลายต่างก็สอยบ้าง  ขว้างบ้าง หักบ้าง  เพื่อเอาผลมารับประทาน  จึงเป็นเช่นนั้น  อีกต้นหนึ่งไม่มีผล  ไม่มีใครไปทำลาย  จึงมีใบหนาทึบอยู่เช่นนั้น  พระเจ้าข้า"

พระราชามหาชนกได้สดับดังนั้น  ก็สลดพระทัย  ได้ความคิดขึ้นว่า  "ต้นไม้ที่มีผลมีรสอร่อย  มักถูกหักทำลาย  เช่นมะม่วงต้นนั้น  ส่วนต้นที่ไม่มีผลก็มีใบหนาทึบสะพรั่งอยู่  ราชสมบัติเปรียบเหมือนต้นไม้มีผล  อาจถูกทำลายวันใดวันหนึ่งก้็ได้  แม้ยังไม่ถูกทำลายก็ทำให้เกิดกังวลเฝ้าแหนรักษา  ภัยเกิดแก่ผู้มีความกังวล  บรรพชาเปรียบเหมือนต้นไม้ที่ไม่มีผล  ไม่ทำให้เกิดกังวล  เพราะภัยย่อมไม่มีแก่ผู้ที่ไม่มีกังวล  เราจะไม่ยอมทำตนเหมือนต้นไม้มีผล  เราจะทำตนเหมือนต้นไม้ไม่มีผล  เราจะสละราชสมบัติออกบรรพชาแน่นอน"  เมื่อทรงมั่นพระทัยเช่นนั้น  จึงเสด็จกลับเข้าพระราชวัง  รับสั่งประชุมเสนาบดีว่า  "ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป  เราขอมอบราชการทุกอย่างให้แก่อุปราชโอรสของเราดูแลแทน  เราจะขออยู่อย่างสงบ  ห้ามผู้คนเข้าไปรบกวนเรา  นอกจากพนักงานเชิญเครื่องกับพนักงานถวายน้ำบ้วนพระโอษฐ์เท่านั้น"  ตรัสสั่งเสร็จแล้วพระองค์ก็เสด็จเข้าพระมหาปราสาท  ทรงเจริญสมณธรรมอยู่่องค์เดียว


.....................................



จาก....หนังสือทศชาติชาดก  (พระเจ้าสิบชาติ)
โดย....แปลก  สนธิรักษ์