พระราชามหาชนกตรัสว่า "เอาเถอะ เราจะบอกให้ เมื่อประชาชนให้พระโอรสครองราชสมบัติแล้ว ขอให้พระนางคอยตักเตือนดูแลพระราชโอรสให้ได้ศึกษาสำเหนียกราชประเพณีของกษัตริย์ และวิธีการปกครองราษฏรให้อยู่เย็นเป็นสุข คอยตักเตือนห้ามปรามพระโอรสให้งดเว้นในทางทุจริตทางกาย วาจา ใจ ให้ตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรมเถิด"
เมื่อทั้งสองพระองค์ตรัสโต้ตอบกันอยู่ก็ถึงเวลาพลบ พระนางสีวลีจึงไปตั้งค่ายประทับอยู ณ ที่แห่งหนึ่ง พระราชามหาชนกประทับที่ร่มไม้แห่งหนึ่ง ประทับอยู่นตลอดคืน
รุ่งเช้า พระราชามหาชนกเสด็จดำเนินไปตามหนทาง พระนางสีวลีพร้อมด้วยอำมาตย์ราชบริพารก็เสด็จตามไปภายหลัง กษัตริย์ทั้งสองเสด็จไปถึงถูนนคร พอดีได้เวลาภิขาจาร
ขณะนั้น มีชายผู้หนึ่งซื้อก้อนเนื้อชิ้นใหญ่มาจากโรงฆ่าสัตว์ แล้วเอาไม้เสียบย่างให้สุก วางบนพื้นกระดานเพื่อจะให้เย็น ขณะที่ชายผู้นั้นเผลอ สุนัขตัวหนึ่งก็มาคาบเอาก้อนเนื้อนั้นไป ชายเจ้าของเนื้อไล่สุนัข เมื่อเห็นไม่ทันก็กลับ ฝ่ายสุนัขวิ่งมาพอดีพบพระราชามหาชนกกับพระนางสีวลีข้างหน้า จึงตกใจทิ้งก้อนเนื้อหนีไป พระราชามหาชนกทอดพระเนตรเห็นก้อนเนื้อที่สุนัขทิ้งไว้ ทรงดำริว่า "ก้อนเนื้อชิ้นนี้สุนัขนำมาทิ้งไว้ ทั้งไม่มีเจ้าของติดตามมา เราจักพิจารณาก้อนเนื้อชิ้นนี้นำไปเป็นอาหาร" เมื่อดำริดังนั้นแล้วจึงเสด็จไปหยิบเอาก้อนเนื้อนั้นมาปัดฝุ่นใส่ลงในบาตร แล้วประทับนั่งเสวยก้อนเนื้อนั้นตามแบบของสมณะ
พระนางสีวลีทอดพระเนตรเห็นพระราชสามีเสวยก้อนเนื้อที่สุนัขมาทิ้งไว้นั้น จึงทรงดำริว่า "ถ้าพระสวามีของเรายังคงปรารถนาจะครองราชสมบัติอยู่ คงจะไม่เสวยก้อนเนื้อเช่นนี้ ซึ่งแสนที่จะสกปรกและน่าเกลียด ทั้งเป็นเดนสุนัข แต่พระองค์กลับเสวยได้ น่าที่พระองค์จะไม่ทรงคิดกลับไปครองราชสมบัติและเป็นพระราชสามีของเราเป็นแน่แล้ว" เมื่อดำริดังนั้นจึงกราบทูลว่า "โอ พระทูลกระหม่อม ช่างเสวยเนื้อที่สกปรกอย่างนั้นได้"
พระราชาตรัสว่า "พระเทวีเอ๋ย ไม่รู้จักบิณฑบาตพิเศษเพราะความโง่เขลาของเธอ" แล้วพระองค์ก็เสวยก้อนเนื้อ ปรากฏมีรสโอชา เมื่อเสวยเสร็จก็เสด็จดำเนินต่อไป พระนางสีวลีพร้อมด้วยข้าราชบริพารก็เสด็จตามไปด้วย เมื่อเสด็จถึงประตููถูนนคร ทอดพระเนตรเห็นเด็กหญิงคนหนึ่ง เอากระด้งน้อย ๆ ฝัดทรายเล่นอยู่ กำไลที่สวมอยู่ที่ข้อมือข้างหนึ่งมีเสียงดัง ส่วนที่สวมอยู่อีกข้างหนึ่งไม่มีเสียงดัง พระราชามหาชนกทรงทราบเหตุที่เป็นดังนั้น จึงทรงดำริว่า "เราจะเข้าไปถามเด็กหญิงเพื่อให้เธอตอบเรื่องกำไลมือข้างหนึ่งมีเสียง อีกข้างหนึ่งไม่มีเสียง อาจเกิดประโยชน์ในทางคติธรรมแก่พระนางสีวลีและผู้ติดตามบ้าง" เมื่อทรงดำริดังนี้ จึงเสด็จเข้าไปตรัสถามเด็กหญิงนั้นว่า "นี่แน่ะหนู เราอยากจะถามว่า เพราะเหตุใดกำไลมือของหนูข้างหนึ่งจึงมีเสียงดัง อีกข้างหนึ่งไม่มีเสียงเดัง"
เด็กหญิงนั้นทูลว่า "ข้าแต่ท่านนักบวช กำไลมือที่ท่านได้ยินเสียงนั้นเพราะมันกระทบกัน คือ มี ๒ อัน ส่วนอีกข้างหนึ่งไม่มีเสียงนั้น เพราะมีอันเดียว ก็เหมือนคนนั้นแหละเจ้าค่ะ ถ้าอยู่กันตั้งแต่ ๒ คนขึ้นไป ก็ต้องมีการกระทบกระทั่งกัน ถ้าอยู่คนเดียวก็สงบ เพราะไม่รู้ว่าจะไปกระทบกับใคร เป็นดังนี้แหละเจ้าค่ะ"
พระมหาชนกได้สดับธรรรมของเด็กหญิงนั้น เพื่อจะให้เกิดคติแก่พระนางสีวลี จึงตรัสว่า "ดูก่อนพระนาง เธอได้ยินถ้อยคำที่เด็กนั้นกล่าวหรือไม่ เด็กหญิงเป็นเพียงสาวชาวบ้านธรรมดา ยังพูดให้เราได้ความคิด คล้ายกับเธอจะติเตียนเราที่เห็นเราเป็นนักบวช แต่ก็มีผู้คนมากมายติดตามเรามา ซึ่งผิดวิสัยของนักบวชที่ดี ตามธรรมดาจะต้องอยู่ผู้เดียวอย่างสงบ แค่นี่กลับมีเธอเป็นต้น ติดตามมา ซึ่งไม่น่าดูเสียเลย ต่อไปนี้เธออย่าเรียกเราว่าเป็นพระสวามีและเราก็จะไม่ถือว่่าเธอเป็นมเหสีอีกต่อไป"
...........................................
จาก....หนังสือทศชาติชาดก (พระเจ้าสิบชาติ)
โดย....แปลก สนธิรักษ์