พระนางตรัสว่า " ท่านเจ้าขา ดิฉันจะไปจ้ะ "
ท้าวสักกะแปลง " ถ้าเช่นนั้น เชิญแม่ขึ้นยานของข้าพเจ้าเถิด "
พระนาง " ท่านเจ้าขา ฉันมีครรภ์แก่ ไม่อาจขึ้นยานได้ จะขอเดินตามไปข้างหลัง แต่ขอฝากกระเช้าไปด้วย "
ท้าวสักกะแปลง " แม่อย่ากลัวไปเลย เชิญขึ้นนั่งบนยานเถิด ข้าพเจ้ารับรองว่า จะมิให้กระทบกระเทือนครรภ์ของแม่เลย " ในขณะที่พระเทวีจะเสด็จขึ้นยาน ด้วยเดชานุภาพของพระโอรสที่อยู่ในพระครรภ์ก็บันดาลให้แผนดินสูงขึ้น ทำให้พระเทวีเสด็จขึ้นประทับบนยานโดยไม่ต้องปืนป่าย เมื่อพระนางขึ้นบนยานแล้ว ก็บรรทมหลับทันที
ท้าวสักกะแปลงขับยานไปถึงแม่น้ำแห่งหนึ่ง เป็นระยะทางไกลถึง ๓๐ โยชน์ จอดยานที่แม่น้ำนั้น แล้วปลุกพระเทวีให้ตื่นจากบรรทม ให้พระนางลงอาบน้ำ เตรียมของเสวยให้พระนาง เมื่อพระเทวีอาบน้ำและเสวยเสร็จแล้วก็ขึ้นประทับบนยานแล้วบรรทมต่อไป ท้าวสักกะแปลงขับยานไปจนกระทั่งเย็นก็ถึงกาลจัมปานคร พอดีกับพระนางตื่นจากบรรทม ได้ทอดพระเนตรเห็นประตู ป้อม คู หอรบ และกำแพงพระนคร จึงตรัสถามท้าวสักกะแปลงว่า " นี่เมืองอะไรจ้ะ ? "
ท้าวสักกะแปลงทูลว่า " นี่คือเมืองกาลจัมปากะละแม่ "
พระนางทรงค้านว่า " นี่อะไรกันท่านเจ้าขา เมืองกาลจัมปากะ กับเมืองที่ดิฉันอยู่ไกลกันประมาณ ๖๐ โยชน์ ไฉนจึงถึงไวเช่นนี้ เห็นจะไม่ใช่ละกะมั้ง"
ท้าวสักกะแปลงทูลว่า " เป็นจริงอย่างที่แม่ว่า แต่เพราะข้าพเจ้ารู้จักทางลัด จึงเดินทางถึงได้เร็ว" ท้าวสักกะแปลงได้เชิญพระเทวีลงจากยานแล้วชี้ไปข้างหน้า ตรัสว่า " นั่นบ้านของตา ขอให้แม่เดินทางเข้าสู่พระนครเถิด " ตรัสแล้วก็ทำเป็นเดินไปข้างหน้าหน่อยหนึ่ง และหายวับไป พระเทวีเสด็จไปประทับอยู่ ณ ศาลาแห่งหนึ่ง
ขณะนั้น มีพราหมณ์ทิศาปาโมกข์คนหนึ่ง พร้อมด้วยศิษย์หลายร้อยคนพากันไปอาบน้ำ ขณะเดินผ่านก็ได้เห็นพระเทวีประทับนั่งอยู่บนศาลา ท่านทิศาปาโมกข์ก็เกิดความรักใคร่เอ็นดูเหมือนน้องสาวร่วมมารดา จึงให้พวกศิษย์รออยู่ข้างนอกก่อน ทานทิศาปาโมกข์เข้าไปที่ศาลาแต่ผู้เดียว ตรงเข้าไปหาพระเทวี ถามว่า " แม่เป็นชาวเมืองไหนจ๊ะ ? "
พระเทวีตรัสว่า " ท่านเจ้าขา ดิฉันเป็นชาวเมือมิถิลา เป็นอัครมเหสีของพระเจ้าอริฏฐชนก "
ท่านอาจารย์ทิศาปาโมกข์ทูลถามว่า " พระนางเสด็จมาเมืองนี้เพื่อประสงค์อันใด ? "