ค้นหาบล็อกนี้

วันเสาร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

พระมหาชนก (๓)



พระนางตรัสว่า   " ท่านเจ้าขา  ดิฉันจะไปจ้ะ "

ท้าวสักกะแปลง   " ถ้าเช่นนั้น  เชิญแม่ขึ้นยานของข้าพเจ้าเถิด  "

พระนาง   " ท่านเจ้าขา  ฉันมีครรภ์แก่  ไม่อาจขึ้นยานได้  จะขอเดินตามไปข้างหลัง  แต่ขอฝากกระเช้าไปด้วย "

ท้าวสักกะแปลง   " แม่อย่ากลัวไปเลย  เชิญขึ้นนั่งบนยานเถิด  ข้าพเจ้ารับรองว่า  จะมิให้กระทบกระเทือนครรภ์ของแม่เลย "   ในขณะที่พระเทวีจะเสด็จขึ้นยาน  ด้วยเดชานุภาพของพระโอรสที่อยู่ในพระครรภ์ก็บันดาลให้แผนดินสูงขึ้น  ทำให้พระเทวีเสด็จขึ้นประทับบนยานโดยไม่ต้องปืนป่าย  เมื่อพระนางขึ้นบนยานแล้ว  ก็บรรทมหลับทันที

ท้าวสักกะแปลงขับยานไปถึงแม่น้ำแห่งหนึ่ง  เป็นระยะทางไกลถึง  ๓๐  โยชน์  จอดยานที่แม่น้ำนั้น  แล้วปลุกพระเทวีให้ตื่นจากบรรทม ให้พระนางลงอาบน้ำ  เตรียมของเสวยให้พระนาง  เมื่อพระเทวีอาบน้ำและเสวยเสร็จแล้วก็ขึ้นประทับบนยานแล้วบรรทมต่อไป  ท้าวสักกะแปลงขับยานไปจนกระทั่งเย็นก็ถึงกาลจัมปานคร  พอดีกับพระนางตื่นจากบรรทม  ได้ทอดพระเนตรเห็นประตู  ป้อม  คู  หอรบ  และกำแพงพระนคร  จึงตรัสถามท้าวสักกะแปลงว่า   " นี่เมืองอะไรจ้ะ ? "

ท้าวสักกะแปลงทูลว่า   " นี่คือเมืองกาลจัมปากะละแม่ "

พระนางทรงค้านว่า   " นี่อะไรกันท่านเจ้าขา  เมืองกาลจัมปากะ  กับเมืองที่ดิฉันอยู่ไกลกันประมาณ  ๖๐  โยชน์  ไฉนจึงถึงไวเช่นนี้  เห็นจะไม่ใช่ละกะมั้ง"

ท้าวสักกะแปลงทูลว่า   " เป็นจริงอย่างที่แม่ว่า  แต่เพราะข้าพเจ้ารู้จักทางลัด  จึงเดินทางถึงได้เร็ว"   ท้าวสักกะแปลงได้เชิญพระเทวีลงจากยานแล้วชี้ไปข้างหน้า  ตรัสว่า   " นั่นบ้านของตา  ขอให้แม่เดินทางเข้าสู่พระนครเถิด "   ตรัสแล้วก็ทำเป็นเดินไปข้างหน้าหน่อยหนึ่ง  และหายวับไป  พระเทวีเสด็จไปประทับอยู่  ณ  ศาลาแห่งหนึ่ง

ขณะนั้น  มีพราหมณ์ทิศาปาโมกข์คนหนึ่ง  พร้อมด้วยศิษย์หลายร้อยคนพากันไปอาบน้ำ  ขณะเดินผ่านก็ได้เห็นพระเทวีประทับนั่งอยู่บนศาลา  ท่านทิศาปาโมกข์ก็เกิดความรักใคร่เอ็นดูเหมือนน้องสาวร่วมมารดา  จึงให้พวกศิษย์รออยู่ข้างนอกก่อน  ทานทิศาปาโมกข์เข้าไปที่ศาลาแต่ผู้เดียว  ตรงเข้าไปหาพระเทวี   ถามว่า   " แม่เป็นชาวเมืองไหนจ๊ะ ? "

พระเทวีตรัสว่า   " ท่านเจ้าขา  ดิฉันเป็นชาวเมือมิถิลา  เป็นอัครมเหสีของพระเจ้าอริฏฐชนก "

 ท่านอาจารย์ทิศาปาโมกข์ทูลถามว่า   " พระนางเสด็จมาเมืองนี้เพื่อประสงค์อันใด ? "




วันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

พระมหาชนก (๒)


ฝ่ายพระราชาอริฏฐชนก  รับสั่งให้ทหารเที่ยวติดตามจับเจ้าโปลชนกทุกแห่งที่สงสัยว่าพระมหาอุปราชจะหลบซ่อนอยู่  แต่ก็ไม่สามารถจะจับได้

เจ้าโปลชนกมหาอุปราชเสด็จลี้ภัยไปประทับอยู่  ณ  บ้านชายแดนหลายเพลา ยิ่งนานวันเข้าก็ทรงเกลี้ยกล่อมผู้คนชาวชนบทได้มากขึ้นเป็นลำดับ  มีพวกพ้องบริวารมาก  จึงทรงดำริว่า  "เราเป็นผู้บริสุทธิ์   มีจิตจงรักภักดีต่อพระเชษฐาธิราช  มิได้คิดคดทรยศเลย  แต่เรากลับถูกหาว่าเป็นผู้ทรยศจนต้องหนีมาพึ่งชาวบ้านอยู่เช่นนี้  บัดนี้เรามีพวกพ้องมากพอแล้ว  เราจะต้องก่อเวรกับพระเชษฐาล่ะ"  เมื่อทรงดำริดังนั้นแล้ว  จึงตรัสเรียกประชุมพลนิกายทั้งหมด  แล้วยกพลจากบ้านชายแดนมุ่งตรงกรุงมิถิลา  เมื่อจวนจะถึง  รับสั่งให้ตั้งค่ายพักอยู่ภายนอกพระนคร


จะกล่าวถึงเหล่าทหารแห่งกรุงมิถิลา  เมื่อได้ทราบว่า  เจ้าโปลชนกมหาอุปราชเสด็จนำกองพลใหญ่หลวงมา  ต่างก็นำอาวุธยุทโธปกรณ์  อีกทั้งช้างม้าเป็นต้น  มามอบถวายเจ้าโปลชนกมหาอุปราช  บรรดาชาวเมืองต่างก็พากันสมัครเข้าด้วยกับเจ้าโปลชนกเป็นจำนวนมาก  เจ้าโปลชนกทรงส่งสาสน์ไปถึงพระเชษฐาธิราชว่า  "ขอเชะ  ข้าพระพุทธเจ้ามิได้คิดคดทรยศต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท  แต่ต้องถูกใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจับจองจำข้าพระพุทธเจ้า  เพราะทรงเชื่อถ้อยคำใส่ไคล้ของอำมาตย์สอพลอ  ข้าพระพุทธเจ้าจำเป็นจำใจต้องหนีลี้ภัย  บัดนี้ถึงคราวแล้วที่ข้าพระพุทธเจ้าจะต้องก่อเวรกับใต้ฝ่าละอองธุุลีพระบาท  ขอพระองค์จงทรงพระวินิจฉัยให้ถ่องแท้ว่าจะพระราชทานพระมหาเศวตฉัตรให้แก่ข้าพระพุทธเจ้า  หรือจะทำสงครามกับข้าพระพุทธเจ้า  ขอให้ทรงเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง"

พระราชาอริฏฐชนกได้ทรงสดับสาสนของเจ้าโปลชนก  ทรงสะดุ้งหวาดกลัว  ไม่ทรงปรารถนาจะทำสงคราม  จึงตรัสปรึกษาพระอัครมเหสีว่า  "ดูก่อนพระน้อง  การรบไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่าจะแพ้หรือชนะ  หากจะมีอันตรายเกิดขึ้นแก่ตัวเรา  พระน้องจงรักษาพระครรภไว้ให้ปลอดภัยเถิด"

เมื่อตรัสดังนั้น  แล้วก็เสด็จออกกรีธาทัพมุ่งตรงไปยังค่ายของเจ้าโปลชนก  ได้ถูกทหารของเจ้าโปลชนกปลงพระชนม์เสียในสนามรบนั่นเอง

ชาวเมืองมิถิลา  เมื่อได้ทราบว่า  พระเจ้าอยู่หัวของตนถูกปลงพระชนม์สวรรคตแล้ว  ต่างก็ตื่นตระหนกตกใจเป็นโกลาหล  แม้พระอัครมเหสีของพระเจ้าอริฏฐชนก  เมื่อทรงทราบว่า  พระสวามีเสด็จสวรรคตเสียแล้ว  ก็เตรียมขอมีค่าบรรจุลงกระเช้า  เอาผ้าเก่า ๆ  ปิด  แล้วเอาข้าวสารใส่ไว้ข้างบน  เทินกระเช้าบนพระเศียร  เสด็จหนีออกจากพระนครในเวลากลางวัน  ไม่มีใครจำพระนางได้  พระนางเสด็จเรือยไปโดยไม่มีจุดหมาย  ได้ประทับบนศาลาแห่งหนึ่ง  ทรงรำพึงที่จะเสด็จไปเมืองกาลจัมปากะ  แต่ก็ไม่รู้ว่าจะไปได้อย่างไร  จะถามคนเดินทางก็ไม่มีใคร  ด้วยเดชานุภาพสัตว์ที่เกิดในครรภ์ของพระนางมิใช่สัตว์ธรรมดา  เป็นพระมหาสัตว์  จึงบันดาลให้ท้าวสักกเทวราช แปลงเพศเป็นคนแก่ขับยานเนรมิต  ซึ่งมีเตียงตั่งอยู่ในยามนั้น  ขับไปหยุดอยู่ที่ศาลาที่พระนางประทับอยู่  ท้าวสักกะแปลงลงจากยานเข้าไปทูลถามพระนางว่า  "จะมีใครไปกาลจัมปากนครบ้าง ? "


.................................